อัล-กุรอานเป็นคัมภีร์ที่อัลลอฮฺ (ซุบฯ) ทรงประทานผ่านท่านญิบรีลแก่ท่านศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) เพื่อประกาศเป็นทางนำแก่มนุษยชาติ โดยใช้เวลารวม 23 ปี อัล-กุรอานเป็นคัมภีร์ที่ประมวลเรื่องราวแห่งความเร้นลับในอดีตกาล รวมทั้งเรื่องราวอันเร้นลับที่เกิดขึ้นในโลกอาคิเราะห์ เป็นธรรมนูญชีวิตของมุสลิมที่จุดประกายด้วยศาสตร์ สาระ ความรู้ และวิทยาการต่าง ๆ และสอดคล้องกับทุกยุค ทุกสมัย เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้น ได้ประจักษ์ความจริงมาเป็นลำดับ ตามที่ระบุในอัล-กุรอานทั้งสิ้น และอัล-กุรอานเป็นคัมภีร์ที่ไม่เคยได้รับการสังคายนา แก้ไขหรือเพิ่มเติมแต่อย่างใด ทุกอักษร ทุกคำ และทุกประโยค ยังคงเหมือนเดิมเฉกเช่นสมัยของท่านศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) กล่าวคือ ในยุคสมัยของท่านศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) เป็นเช่นไร ปัจจุบัน ก็ยังเป็นอยู่เช่นนั้น ตราบจนถึงวันสิ้นโลก
อัล-กุรอานเป็นคัมภีร์เล่มหนึ่งในสี่เล่มที่มาจากอัลลอฮฺ (ซุบฯ) เช่นเดียวกับคัมภีร์เตารอตที่ประทานให้แก่ท่านศาสดามูซา (Moses) คัมภีร์อันญีลที่ประทานให้แก่ท่านศาสดาอีซา (Jesus Christ) คัมภีร์ซะบูรฺที่ประทานให้แก่ท่านศาสดาดาวูด (David) คัมภีร์ดังกล่าวได้รับการประทานครั้งเดียวทั้งเล่ม แต่คัมภีร์อัล-กุรอานได้รับการประทานเป็นครั้งคราว แล้วแต่สถานการณ์ที่อุบัติขึ้น เป็นเวลานานถึง 23 ปี ความแตกต่างอีกอยางหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ ศาสดามูซา ศาสดาอีซา และศาสดาดาวูด เป็นผู้ที่อ่านออกเขียนได้ และเผยแผ่อิสลามในอาณาบริเวณที่จำกัด แต่ศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) เป็นผู้ที่อ่านหนังสือไม่ออกและเขียนหนังสือไม่ได้ ได้เผยแผ่อิสลามในอาณาบริเวณโดยไร้พรมแดน คุณลักษณะของท่านศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ที่อ่านและเขียนหนังสือไม่ได้ ถือเป็นความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งที่ท้าทายผู้ไม่ศรัทธา เพื่อการพิสูจน์ความเป็นศาสดาของท่าน
เมื่อท่านศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้รับโองการแห่งอัล-กุรอานแต่ละอายะห์ และซูเราะห์ ก็มอบให้เซดบินซาบิดเป็นผู้บันทึกไว้ตามแผ่นกระดูกที่สะอาด กาบอินทผาลัม แผ่นกระดาน และดินปั้นเป็นอย่างดี ส่วนการรวบรวมอัล-กุรอานเป็นรูปเล่มนั้น ได้ดำเนินการอย่างจริงจังในสมัยคอลีฟะห์อุมัร รวม 6 เล่ม และส่งไปยังเมือง และประเทศต่าง ๆ คือ มะดีนะห์ ซีเรีย กูฟะห์ บาซอเราะห์ มักกะห์ และเซดบินซาบิดเก็บรักษาไว้ 1 เล่ม
อัล-กุรอานเป็นเครื่องหมายแห่งความมหัศจรรย์ กล่าวคือ เป็นคัมภีร์ที่ไม่มีบุคคลใดสามารถประพันธ์และเรียบเรียงเท่าเทียมได้ ไม่ว่าในด้านความไพเราะ การใช้ถ้อยคำ สำนวนโวหาร และการเชื่อมประโยค ทั้ง ๆ ที่ชาวอาหรับในศตวรรษที่ 7 จะมีชื่อเสียงด้านการใช้ภาษา และการแต่งคำประพันธ์ทางภาษาอาหรับได้เป็นอย่างดีก็ตาม
อัล-กุรอานมิใช่หนังสือประวัติศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ ความจริง เป็นคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จุดมุ่งหมายสำคัญของคัมภีร์อัล-กุรอานคือทางนำของ
มนุษย์ และชี้นำสัจธรรมแห่งการดำรงชีวิต (Facts of Existence) และประมวลความรู้ ความกรุณาเมตตาอย่างกว้างขวาง ดังปรากฏโองการแห่งอัล-กุรอาน ดังนี้
ความว่า คัมภีร์นี้ ไม่มีผู้สงสัยใด ๆ เป็นทางนำสำหรับผู้ที่มีความยำเกรง (2 : 2)
ความว่า แท้จริง อัล-กุรอานนี้นำสุ่ทางอันเที่ยงตรง และแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาที่ประกอบคุณความดีทั้งหลายว่า สำหรับพวกเขานั้น จะได้รับการตอบแทนอันยิ่งใหญ่ (17 : 9)
ความว่า โอ้ มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงข้อตักเตือน (อัล-กุรอาน) จากพระเจ้าของพวกท่าน ได้มายังพวกท่านแล้ว และ(มัน) เป็นการบำบัดสิ่งที่มีอยู่ในทรวงอก และเป็นการชี้แนะทาง และเป็นความเมตตาแก่บรรดาผู้ศรัทธา (10 : 57)
อัล-กุรอาน เป็นคัมภีร์ที่ประกอบด้วยอายะห์ต่าง ๆ หลายร้อยอายะห์ ซึ่งล้วนมีจุดหมายชัดเจนในการชี้นำมนุษย์ให้ยึดมั่นพระเจ้าองค์เดียว มุสลิมมีความเชื่อมั่นว่า ความรู้ที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์ผ่านคัมภีร์อัล-กุรอานนั้น เป็นสัจธรรม เมื่อบุคคลใดยอมรับแนวคิดนี้ เขาก็เป็นผู้ศรัทธา เป็นผู้ตระหนักแห่งความกรุณาเมตตาของพระเจ้า อัล-กุรอานได้ชี้อย่างชัดเจนว่า ผู้ศรัทธาที่แท้จริงนั้นจะได้รับความปิติยินดี ความสันติสุข และรางวัลอันยิ่งใหญ่ ทั้งในชีวิตแห่งโลกนี้ และหลังจากสิ้นลมปราณแล้ว
มุสลิมที่ศึกษาอัล-กุรอานอย่างลึกซึ้ง สามารถสร้างความสมดุลแห่งชีวิตทั้งด้านจิตใจและวัตถุได้ ทั้งนี้ เนื่องจากได้รับคำสอนจากอัล-กุรอานให้ศรัทธว่า อัล-กุรอานเป็นโองการแห่งพระเจ้า โดยสอนว่า มนุษย์เกิดมาในสายกลาง ปราศจากบาป และโดยธรรมชาติแล้ว เป็นผู้ที่ไม่มีบาป อัล-กุรอานสอนให้มนุษย์ประกอบคุณงามความดี และหลีกเลี่ยงความผิดที่ร้ายแรง หรือการทำบาปทั้งปวง ดังนั้น สาระแห่งอัล-กุรอาน อาจแบ่งได้ ดังนี้
1. ภาคจิตวิญญาณ (Spiritual Issues)
1.1. พระผู้สร้าง (Creation) พระเจ้าบังเกิดมนุษย์และจักรวาล โดยมอบหมายมนุษย์เป็นผู้กำกับดูแลแทน วิญญาณและจิตใจของมนุษย์เป็นพลังชนิดหนึ่งที่มองไม่เห็น แต่สามารถรับผลแห่งความรู้สึกได้ ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ย่อมมีความรับผิดชอบแห่งผลกรรม โดยพระผู้เป็นเจ้าส่งเสริมมนุษย์ให้มีการพัฒนาพลังจิตตามหลักธรรมคำสอนเป็นสำคัญ
1.2. มลาอีกะห์(Angles) มุสลิมมีความเชื่อว่ามลาอีกะห์เป็นการศรัทธาข้อหนึ่งใน 6 ประการ อัลลอฮ์ (ซุบฯ) ได้กำหนดให้มลาอีกะห์เป็นเทวทูต เพื่อปฏิบัติดีตามพระบัญชาของพระองค์ ความสัมพันธ์ระหว่างมลาอีกะห์กับมนุษย์ในอัล-กุรอาน คือเป็นผู้บันทึกพฤติกรรมของมนุษย์ บทบาท
ที่ตรงกันข้ามกับมลาอีกะห์คือไชฏอน ที่คอยยุยงให้มนุษย์ทำความชั่ว ดังนั้น สิ่งที่ถูกสร้างทั้งสองนี้ ย่อมมีความแตกต่างกับมนุษย์อย่างชัดเจน
1.3. ความตาย (Death) ความตายเป็นการแยกวิญญาณออกจากร่างกาย อัล-กุรอานได้ระบุว่า วิญญาณยังคงมีอยู่หลังจากออกจากร่างกายแล้ว และวิญญาณย่อมผ่านประสบการณ์ 2 ลักษณะ โดยลักษณะแรกคือ ความรู้ และความอ่อนไหว สิ่งดังกล่าวเป็นการทรมานจากความชั่วที่บุคคลนั้นได้รับ ก่อนขณะที่มีชีวิต และยินดีในคุณความดีที่ได้ปฏิบัติ ส่วนอีกลักษณะหนึ่งก็คือ จะคงอยู่ถึงวันแห่งการพิพากษา (Day of Judgement) ซึ่งมนุษย์ทั้งหมดจะอยู่ ณ ที่นั้น
1.4. วันแห่งการพิพากษา (Day of Judgement) เป็นวันที่มนุษย์ได้รับการทดสอบจากพระผู้สร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลที่ไม่เชื่อฟังและสร้างภาคีกับพระองค์ จะได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง ตรงกันข้าม บุคคลที่ศรัทธาต่อพระองค์ ยอมรับในศาสนทูตของพระองค์ และปฏิบัติตามพระบัญชาและกฎหมาย ย่อมได้รับการตอบแทนเป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่
1.5. การช่วยเหลือ (Salvation) อัล-กุรอานมิได้รับรองการให้ความช่วยเหลือ นอกจากการประกอบคุณงามความดีของแต่ละบุคคล ในอัล-กุรอานมีหลายอายะห์ที่ระบุให้ทุกคนรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองปฏิบัติ เพื่อการแสดงออกซึ่งความเอื้ออาทรระหว่างกัน
2. ภาคโลกมนุษย์ (Mudane Issues)
อัล-กุรอาน มีหลายอายะหที่ท่านศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้รับวะหฺยู ณ นครมะดีนะห์ โดยจำแนกได้ 3 มิติ กล่าวคือ ในฐานะศาสนทูต ปัจเจกชน และอุมมะห์มุสลิมหรือสังคม ดังนี้
2.1. ศาสนทูตแห่งพระเจ้า (The Servant of God) อัล-กุรอานได้กำหนดนิยามความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า โดยมุ่งเน้นว่า มนุษย์เป็นสิทธิของพระเจ้า และต้องเคารพภักดี
อัลลอฮฺ (ซุบฯ) ทรงกำหนดการละหมาด ซะกาต การถือศีลอด และการบำเพ็ญฮัจย์เป็นหลักการเพื่อนำศรัทธาชนให้สามารถติดต่อกับพระเจ้า และให้ความช่วยเหลือเพื่อการดำรงตนอย่างมีความสุข
2.2. ครอบครัว (Family) หน่วยพื้นฐานของมนุษยชาติคือครอบครัว ถือว่าเป็นสังคมแห่งเพศหญิงและเพศชาย การแต่งงานในอิสลามถูกกำหนดสำหรับปัจเจกชนเมื่อมีความพร้อม เพราะครอบครัวเป็นสถาบันแห่งการมีสุขภาพดีของชาติพันธุ์
2.3. สังคม (Society) อัล-กุรอานมีคำสอนเกี่ยวกับแนวคิดใหม่ของสังคมมนุษย์ บุคคลที่ศรัทธาต่ออัลอฮฺ ศาสนทูต และคัมภีร์ของพระองค์คืออุมมะห์ที่แท้จริง และอุดมการณ์ของอุมมะห์คือ อัล-กุรอาน สำหรับอุมมะห์จำเป็นต้องดำเนินการให้ได้รับความสำเร็จ 3 ประการคือ
2.3.1. การสังเคราะห์ (Welfare) ตามนัยแห่งอัล-กุรอาน การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถอันก่อให้เกิดผลดี หากหลักธรรมข้อนี้ได้รับการปฏิบัติทั้งโดยสมัครใจ ถือว่าบุคคลนั้นเปี่ยมล้นแห่งความกรุณาเมตตาอย่างแท้จริง สำหรับอุมมะห์ที่มีความรับผิดชอบต่อกัน กรณีการสร้างความมั่นคงแก่ชุมชนนั้น ประกอบด้วย 3 ลักษณะ คือ
ก. การให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ (Mutual Economic Aid) ความรับผิดชอบลักษณะนี้คือ ซะกาต อย่างน้อยที่สุด 2 ½% ต้องจ่ายให้คนยากจน ผู้ขาดแคลน ขัดสนตามนัยแห่งอัล-กุรอาน
ข. ความรับผิดชอบทางสังคม (Mutual Social Responsibility) หากความเป็น “เอกภาพ” เป็นหลักการข้อหนึ่งของอิสลาม ถัดมาคือการเรียกร้องเชิญชวนสู่ความดี ห้ามปรามจากความชั่ว ในอัล-กุรอานมีหลายอายะห์ที่เน้นย้ำการให้ความสำคัญเกี่ยวกับการช่วยเหลือสังคมส่วนรวม
ค. ความมั่นคงปลอดภัย (Mutual Security) อุมมะห์ย่อมมีความรับผิดชอบต่อความมั่นคงปลอดภัย ทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม
3. งานดะอ์วะห์ (Da’wa/Missionary Work)
เมื่ออุมมะห์มีการรวมตัวเป็นกลุ่มพวก หรือสังคม ก็จะมีการดำเนินการเผยแผ่อิสลามโดยการเชิญชวนบุคคลให้ยึดมั่นในพระเจ้าองค์เดียว มีหลายอายะห์ในอัล-กุรอานที่กล่าวถึงชาวคัมภีร์ คือ ยิวและคริสเตียน และการเชิญชวนให้ศรัทธาในอิสลาม อย่างไรก็ตาม มุสลิมยอมรับในฐานะศาสนาของศาสดาอิบรอฮีม (Abraham) ศาสดามูซา (Moses) และศาสดาอีซา (Jesus Christ) ไม่มีมุสลิมคนใด ที่ไดรับอนุญาตให้ใช้วิธีการบังคับหรือวิธีการรุนแรงในการเชิญชวนสู่อิสลาม
งานดะอ์วะห์เป็นการเรียกร้องเชิญชวนมุสลิมให้เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับบุคคลอื่น ตามแนวทางแห่งอัล-กุรอานและนำชีวิตสู่คุณธรรม
จากสารัตถะแห่งข้อมูลดังกล่าว อาจประมวลได้ว่า อัล-กุรอานเป็นคัมภีร์อันประเสริฐ และเอื้อให้มนุษย์มีศูนย์กลางแห่งชีวิต รู้จักการกระตุ้นเตือนมนุษย์ให้เพิ่มพูนความรู้ เพื่อยกระดับมาตรฐานของสังคมมนุษย์ อัล-กุรอานสอนให้มุสลิมมีความเข้าใจในจักรวาลอันไพศาล และสั่งสมความรู้ทั้งมวลด้วยความอดทนและยุติธรรม ยิ่งกว่านั้น อัล-กุรอานเป็นคัมภีร์ที่เปี่ยมล้นด้วยวิทยากรด้านต่าง ๆ และเป็นทางนำสำหรับมนุษยชาติเพื่อสู่ทางรอด หากมุสลิมใช้เวลาเพื่อการอ่าน และศึกษาความหมายอย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว นอกจากจะเป็นการนำตนให้ใกล้ชิดต่อโองการแห่งอัลลอฮฺ (ซุบฯ) แล้ว ยังเป็นการยกระดับจิตวิญญาณของตนให้สูงขึ้น และดื่มด่ำกับความประเสริฐแห่งคัมภีร์อัล-กุรอาน พระคัมภีร์แห่งอัลลอฮ (ซ.บ.) อย่างแท้จริง
วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2550
ครอบครัวกับการสื่อสาร
ครอบครัว เป็นหน่วยสังคมที่เล็กที่สุด และเป็นสังคมแห่งแรกที่เด็กเกิดมาจะได้รับความรัก ความอบอุ่นจากสมาชิกในครอบครัว บางครอบครัวมีสมาชิกเพียง 2 คน คือ เฉพาะสามี ภรรยา (ไม่มีบุตร) บางครอบครัวมีสมาชิก ตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป คือมีบุตรอยู่ร่วมด้วย เรียกว่า “ครอบครัวเดี่ยว” และบางครอบครัวมีสมาชิกอยู่รวมกันหลายครอบครัวในบ้านหลังเดียวกัน ประกอบด้วย ปู่ ย่า ตา ยาย และญาติพี่น้อง เรียกว่า “ครอบครัวขยาย”
การสื่อสาร (Communication) หมายถึง การที่บุคคลหนึ่ง ส่งข่าวสารไปยังอีกบุคคลหนึ่ง มีผลทำให้ผู้รับข่าวสารนั้นมีการตอบสนองที่อยู่ภายใน และที่แสดงออกมา
การสื่อสาร เป็นหนึ่งในการปฏิบัติการที่มีมาช้านาน เพื่ออธิบาย และสร้างข้อตกลงในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ตามวิถีสังคมของการอยู่ร่วมกัน เริ่มด้วยการใช้ร่างกาย เสียง จากเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ สู่การสร้างและรักษาความเป็นสังคม หรือปัจจัยยังชีพ ไปจนถึงการตอบสนองความต้องการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในโลก
มนุษย์มีการสื่อสารเพื่อบอกกล่าว ชี้นำ เชิญชวน หรือให้การศึกษา เพื่อสร้างความพึงพอใจ ทั้งเพื่อตนเองและบุคคลอื่น เพื่อระบายหรือสะท้อนความรู้สึก และอารมณ์ เพื่อโน้มน้าว และชักจูงด้วยกลวิธีต่าง ๆ ทั้งความเชื่อ ศาสนา การโฆษณาชวนเชื่อ การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ และการรณรงค์ทางการเมือง
การสื่อสารมวลชน หมายถึงการสื่อสารจากแหล่งหนึ่ง และกระจายออกไปอย่างกว้างขวางในเวลาเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน เป็นการสร้างโอกาสที่เหนือกว่าของผู้มีศักยภาพในการส่งสารได้แพร่กระจายกว่า เร็วกว่า ปัจจุบัน สื่อสารมวลชนเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ใหญ่ และมีพลังของโลก
การสื่อสารประกอบด้วย ข่าวสาร 2 อย่าง คือ
1. ข่าวสารที่เป็นคำพูด หรือภาษาพูด (วจนภาษา)
2. ข่าวสารที่ไม่เป็นคำพูด (อวจนภาษา) หรือภาษาท่าทาง ซึ่งรวมถึง ภาษากาย การสบตา สีหน้า น้ำเสียง การสัมผัส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์
การสื่อสาร มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการอยู่ร่วมกันในครอบครัว และประเด็นปัญหาหนึ่งในครอบครัวส่วนใหญ่ คือ ความขัดแย้งในครอบครัว ระหว่างสามี ภรรยา พ่อ แม่ ลูก และกับสมาชิกในครอบครัว เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย และญาติพี่น้อง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการสื่อสารในครอบครัวที่ไม่เหมาะสม ทั้งนี้ อาจจำแนกสาเหตุได้ดังนี้
1. การไม่เคยได้รับการเรียนรู้เกี่ยวกับการสื่อสารมาก่อน
2. การมีความขัดแย้งจนมิอาจสื่อสารที่ดีต่อกันได้
-2-
การสื่อสารในครอบครัวที่เหมาะสม ย่อมเป็นพื้นฐานสำคัญ ที่จะช่วยให้ครอบครัวมีความมั่นคง มีความเข้าใจอันดีระหว่างสมาชิกในครอบครัว และช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว ทั้งยังจะเป็นการส่งเสริมสุขภาพจิตของสมาชิกในครอบครัวอีกด้วย อย่างไรก็ตาม แต่ละครอบครัวสามารถปรุงแต่งชีวิตครอบครัวให้มีความมั่นคงได้โดยใช้ทักษะพื้นฐานของการสื่อสาร ดังนี้
1. สื่อความประทับใจ (Appreciations) เป็นการแสดงความชื่นชมที่มีต่อสมาชิกใน
ครอบครัวด้วยความจริงใจ มิใช่เยินยอจนเกินเหตุ ทำให้ผู้ฟังรู้สึกผ่อนคลาย มีความสุข
และมีความภูมิใจ เช่น “คุณ (ลูก) สวมชุดนี้แล้ว ดูสวยและงามน่ารักกว่าเมื่อวานนี้มาก
จริง ๆ”
2. สื่อความกังวลใจ (Worries) เป็นการบอกกล่าวถึงความรู้สึกที่กังวลใจออกมาในเวลาที่
เหมาะสม และเป็นการลดความเก็บกดลงได้ เช่น “ฉันรู้สึกไม่สบายใจ เป็นห่วงคุณ
ในช่วงที่คุณต้องขับรถกลับบ้านตอนดึก หลังจากเสร็จสิ้นการประชุม”
3. การให้ข้อมูลใหม่ (New Information) เป็นการบอกกล่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ การนัดหมาย ความชื่นชมในความสำเร็จของบุคคล หรือการทำกิจกรรม เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวทราบข้อมูลเดียวกัน มีความเข้าใจเหมือนกัน อันจะนำไปสู่ความภาคภูมิใจแก่บุคคลที่ประสบความสำเร็จอีกด้วย
4. สื่อข้อสงสัย หรือไม่เข้าใจ (Wonders) เป็นการสื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ เพื่อขอให้อธิบายสิ่งที่สงสัยเพิ่มเติม แทนที่จะเก็บไปคิด หรือเข้าใจเอง ซึ่งมักจะเป็นไปในทางลบมากกว่าทางบวก
5. สื่อความไม่พอใจพร้อมข้อเสนอแนะที่เป็นไปได้(Complaints and Recommendations) เป็นการแลกเปลี่ยนปัญหาซึ่งกันและกัน และผู้เสนอปัญหา มีโอกาสเสนอแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้ เพราะผู้ที่ทราบปัญหาจะเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดในการแก้ปัญหานั้น ๆ ดีกว่าจะให้ผู้อื่นตัดสินว่าไม่ถูกต้อง หรือไม่ควรเป็นเช่นนั้น ซึ่งการสื่อลักษณะนี้ จะเป็นการเปิดเผยความไม่พอใจ ความโกรธ และแสดงออกมาในทางที่เหมาะสม
6. สื่อความหวัง และความปรารถนาดี (Hopes and Wishes) เป็นการแบ่งปันความหวัง และความปรารถนาดีต่อกัน โดยการพูดให้ผู้อื่นทราบถึงความหวัง และความปรารถนาดีที่เราจะทำให้เป็นจริง ถึงแม้ว่าจะได้รับการตอบสนองหรือไม่ก็ตาม เมื่อเราบอกถึงความหวัง และความปรารถนาดีแล้ว อาจมีการรวมพลัง เพื่อให้ความหวังนั้นเป็นผลสำเร็จก็ได้ เช่น การที่ลูกมีความปรารถนาอยากจะสอบให้ได้เกรดดี ๆ เพื่อเป็นที่รักของครู พ่อ แม่ ก็สามารถจะสนองตอบโดยการให้กำลังใจ ให้ความชื่นชม เป็นการช่วยเพิ่มความเชื่อมั่น (Self Esteem) ให้แก่ลูกได้
7. อารมณ์ขัน (Humors) เป็นการใช้คำพูดที่แทรกอารมณ์ขัน ซึ่งจะช่วยให้บรรยากาศในการพูดคุยคลายความตึงเครียดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในชีวิตประจำวันของคนเรา ต้องประสบกับความเครียดของการจราจร และความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน ฯลฯ
-3-
ดังนั้น การใช้คำพูดที่แฝงเร้นด้วยอารมณ์ขันจะช่วยผ่อนคลายความรู้สึกที่มีร่องรอยของ
ความเครียดภายในได้เป็นอย่างมาก
การจัดการกับความขัดแย้งอาจแบ่งได้ เป็น 2 แบบคือ การจัดการความขัดแย้งแบบสร้างสรรค์ และแบบทำลาย หากเป็นการแก้ไขแบบแรก ความขัดแย้งและความแตกต่างที่มีอยู่ ก็จะหมดไป ในทำนองเดียวกัน หากมีการแก้ไขแบบที่สอง ก็จะทำให้ความขัดแย้งยืดเยื้อ และตกตะกอนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังและรุนแรงต่อไป หรืออีกนัยหนึ่ง การจัดการจะเป็นแบบใด ก็ขึ้นอยู่กับการพูดคุยกัน หรือาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การสื่อสารภายในครอบครัว นั่นเอง
การพูดคุยกัน หรือการสื่อสารกันนั้น ทั้งสองฝ่ายที่พูดคุยกัน นอกจากจะสื่อกันด้วยคำพูดแล้ว ยังอาศัยสิ่งที่มิได้เป็นคำพูดคือ ส่วนของภาษาท่าทาง เช่น
· การสบสายตา จะทำให้พูดจากันได้เข้าใจง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้ทั้งสองฝ่ายระงับอารมณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการพูดคุยกันด้วย
· สีหน้า สีหน้าที่รับฟังหรือยิ้มแย้มแจ่มใส ย่อมดีกว่าการแสดงสีหน้าเฉย-เมย หรือบึ้งตึง นอกจากนี้ การสังเกตสีหน้าคู่สนทนา ทำให้เราทราบความรู้สึกได้ว่า เขากำลังโกรธ กังวล น้อยใจ เสียใจ ฯลฯ ซึ่งจะทำให้เราเลือกที่จะพูดจากับเขาได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
· ท่าทาง ท่าทางที่แสดงอกขณะรับฟังและทำให้คู่สนทนาอยากพูดคุยด้วย ได้แก่ การผงกศีรษะรับฟัง การโน้มตัวเข้าหา คนที่ใช้อารมณ์จะแสดงอีกลักษณะหนึ่ง เช่น กอดอก ยืนตัวแข็ง เป็นต้น
· การสัมผัส เช่น การจับมือ จับต้นแขน การโอบกอด จะให้ความรู้ใจ เข้าใจ อบอุ่น รักใคร่ และสนิทสนมได้เป็นอย่างดี
· ระยะห่าง การพูดคุยจะมีบรรยากาศที่ดีขึ้น หากทั้งสองฝ่ายพูดคุยในระยะใกล้กัน การพูดคุยในระยะห่าง จะทำให้ต้องใช้เสียงดับ และไม่มีโอกาสสบตากัน จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ง่าย
จากแนวคิดดังกล่าว จะเห็นว่า การสื่อสารที่ดีในครอบครัว เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งสำหรับการอยู่ร่วมกันในชีวิตประจำวัน ถึงแม้ว่าสังคมไทย จะมิได้จัดลำดับเกี่ยวกับการสื่อสารว่ามีความสำคัญเป็นเบื้องแรกก็ตาม ปัจจุบัน การนำเรื่องการสื่อสารมาใช้ในการช่วยแก้ปัญหาครอบครัว ได้รับการยืนยันว่า จะช่วยลดอุณหภูมิปัญหาได้ระดับหนึ่ง และมีผลสะท้อนทำให้เกิดความเข้าใจที่ดี เกิดความสัมพันธ์ที่ดี สร้างความรัก ความผูกพันระหว่างกัน และยังช่วยแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นระหว่างสมาชิกในครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การสื่อสาร (Communication) หมายถึง การที่บุคคลหนึ่ง ส่งข่าวสารไปยังอีกบุคคลหนึ่ง มีผลทำให้ผู้รับข่าวสารนั้นมีการตอบสนองที่อยู่ภายใน และที่แสดงออกมา
การสื่อสาร เป็นหนึ่งในการปฏิบัติการที่มีมาช้านาน เพื่ออธิบาย และสร้างข้อตกลงในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ตามวิถีสังคมของการอยู่ร่วมกัน เริ่มด้วยการใช้ร่างกาย เสียง จากเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ สู่การสร้างและรักษาความเป็นสังคม หรือปัจจัยยังชีพ ไปจนถึงการตอบสนองความต้องการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในโลก
มนุษย์มีการสื่อสารเพื่อบอกกล่าว ชี้นำ เชิญชวน หรือให้การศึกษา เพื่อสร้างความพึงพอใจ ทั้งเพื่อตนเองและบุคคลอื่น เพื่อระบายหรือสะท้อนความรู้สึก และอารมณ์ เพื่อโน้มน้าว และชักจูงด้วยกลวิธีต่าง ๆ ทั้งความเชื่อ ศาสนา การโฆษณาชวนเชื่อ การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ และการรณรงค์ทางการเมือง
การสื่อสารมวลชน หมายถึงการสื่อสารจากแหล่งหนึ่ง และกระจายออกไปอย่างกว้างขวางในเวลาเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน เป็นการสร้างโอกาสที่เหนือกว่าของผู้มีศักยภาพในการส่งสารได้แพร่กระจายกว่า เร็วกว่า ปัจจุบัน สื่อสารมวลชนเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ใหญ่ และมีพลังของโลก
การสื่อสารประกอบด้วย ข่าวสาร 2 อย่าง คือ
1. ข่าวสารที่เป็นคำพูด หรือภาษาพูด (วจนภาษา)
2. ข่าวสารที่ไม่เป็นคำพูด (อวจนภาษา) หรือภาษาท่าทาง ซึ่งรวมถึง ภาษากาย การสบตา สีหน้า น้ำเสียง การสัมผัส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์
การสื่อสาร มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการอยู่ร่วมกันในครอบครัว และประเด็นปัญหาหนึ่งในครอบครัวส่วนใหญ่ คือ ความขัดแย้งในครอบครัว ระหว่างสามี ภรรยา พ่อ แม่ ลูก และกับสมาชิกในครอบครัว เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย และญาติพี่น้อง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการสื่อสารในครอบครัวที่ไม่เหมาะสม ทั้งนี้ อาจจำแนกสาเหตุได้ดังนี้
1. การไม่เคยได้รับการเรียนรู้เกี่ยวกับการสื่อสารมาก่อน
2. การมีความขัดแย้งจนมิอาจสื่อสารที่ดีต่อกันได้
-2-
การสื่อสารในครอบครัวที่เหมาะสม ย่อมเป็นพื้นฐานสำคัญ ที่จะช่วยให้ครอบครัวมีความมั่นคง มีความเข้าใจอันดีระหว่างสมาชิกในครอบครัว และช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว ทั้งยังจะเป็นการส่งเสริมสุขภาพจิตของสมาชิกในครอบครัวอีกด้วย อย่างไรก็ตาม แต่ละครอบครัวสามารถปรุงแต่งชีวิตครอบครัวให้มีความมั่นคงได้โดยใช้ทักษะพื้นฐานของการสื่อสาร ดังนี้
1. สื่อความประทับใจ (Appreciations) เป็นการแสดงความชื่นชมที่มีต่อสมาชิกใน
ครอบครัวด้วยความจริงใจ มิใช่เยินยอจนเกินเหตุ ทำให้ผู้ฟังรู้สึกผ่อนคลาย มีความสุข
และมีความภูมิใจ เช่น “คุณ (ลูก) สวมชุดนี้แล้ว ดูสวยและงามน่ารักกว่าเมื่อวานนี้มาก
จริง ๆ”
2. สื่อความกังวลใจ (Worries) เป็นการบอกกล่าวถึงความรู้สึกที่กังวลใจออกมาในเวลาที่
เหมาะสม และเป็นการลดความเก็บกดลงได้ เช่น “ฉันรู้สึกไม่สบายใจ เป็นห่วงคุณ
ในช่วงที่คุณต้องขับรถกลับบ้านตอนดึก หลังจากเสร็จสิ้นการประชุม”
3. การให้ข้อมูลใหม่ (New Information) เป็นการบอกกล่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ การนัดหมาย ความชื่นชมในความสำเร็จของบุคคล หรือการทำกิจกรรม เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวทราบข้อมูลเดียวกัน มีความเข้าใจเหมือนกัน อันจะนำไปสู่ความภาคภูมิใจแก่บุคคลที่ประสบความสำเร็จอีกด้วย
4. สื่อข้อสงสัย หรือไม่เข้าใจ (Wonders) เป็นการสื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ เพื่อขอให้อธิบายสิ่งที่สงสัยเพิ่มเติม แทนที่จะเก็บไปคิด หรือเข้าใจเอง ซึ่งมักจะเป็นไปในทางลบมากกว่าทางบวก
5. สื่อความไม่พอใจพร้อมข้อเสนอแนะที่เป็นไปได้(Complaints and Recommendations) เป็นการแลกเปลี่ยนปัญหาซึ่งกันและกัน และผู้เสนอปัญหา มีโอกาสเสนอแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้ เพราะผู้ที่ทราบปัญหาจะเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดในการแก้ปัญหานั้น ๆ ดีกว่าจะให้ผู้อื่นตัดสินว่าไม่ถูกต้อง หรือไม่ควรเป็นเช่นนั้น ซึ่งการสื่อลักษณะนี้ จะเป็นการเปิดเผยความไม่พอใจ ความโกรธ และแสดงออกมาในทางที่เหมาะสม
6. สื่อความหวัง และความปรารถนาดี (Hopes and Wishes) เป็นการแบ่งปันความหวัง และความปรารถนาดีต่อกัน โดยการพูดให้ผู้อื่นทราบถึงความหวัง และความปรารถนาดีที่เราจะทำให้เป็นจริง ถึงแม้ว่าจะได้รับการตอบสนองหรือไม่ก็ตาม เมื่อเราบอกถึงความหวัง และความปรารถนาดีแล้ว อาจมีการรวมพลัง เพื่อให้ความหวังนั้นเป็นผลสำเร็จก็ได้ เช่น การที่ลูกมีความปรารถนาอยากจะสอบให้ได้เกรดดี ๆ เพื่อเป็นที่รักของครู พ่อ แม่ ก็สามารถจะสนองตอบโดยการให้กำลังใจ ให้ความชื่นชม เป็นการช่วยเพิ่มความเชื่อมั่น (Self Esteem) ให้แก่ลูกได้
7. อารมณ์ขัน (Humors) เป็นการใช้คำพูดที่แทรกอารมณ์ขัน ซึ่งจะช่วยให้บรรยากาศในการพูดคุยคลายความตึงเครียดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในชีวิตประจำวันของคนเรา ต้องประสบกับความเครียดของการจราจร และความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน ฯลฯ
-3-
ดังนั้น การใช้คำพูดที่แฝงเร้นด้วยอารมณ์ขันจะช่วยผ่อนคลายความรู้สึกที่มีร่องรอยของ
ความเครียดภายในได้เป็นอย่างมาก
การจัดการกับความขัดแย้งอาจแบ่งได้ เป็น 2 แบบคือ การจัดการความขัดแย้งแบบสร้างสรรค์ และแบบทำลาย หากเป็นการแก้ไขแบบแรก ความขัดแย้งและความแตกต่างที่มีอยู่ ก็จะหมดไป ในทำนองเดียวกัน หากมีการแก้ไขแบบที่สอง ก็จะทำให้ความขัดแย้งยืดเยื้อ และตกตะกอนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังและรุนแรงต่อไป หรืออีกนัยหนึ่ง การจัดการจะเป็นแบบใด ก็ขึ้นอยู่กับการพูดคุยกัน หรือาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การสื่อสารภายในครอบครัว นั่นเอง
การพูดคุยกัน หรือการสื่อสารกันนั้น ทั้งสองฝ่ายที่พูดคุยกัน นอกจากจะสื่อกันด้วยคำพูดแล้ว ยังอาศัยสิ่งที่มิได้เป็นคำพูดคือ ส่วนของภาษาท่าทาง เช่น
· การสบสายตา จะทำให้พูดจากันได้เข้าใจง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้ทั้งสองฝ่ายระงับอารมณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการพูดคุยกันด้วย
· สีหน้า สีหน้าที่รับฟังหรือยิ้มแย้มแจ่มใส ย่อมดีกว่าการแสดงสีหน้าเฉย-เมย หรือบึ้งตึง นอกจากนี้ การสังเกตสีหน้าคู่สนทนา ทำให้เราทราบความรู้สึกได้ว่า เขากำลังโกรธ กังวล น้อยใจ เสียใจ ฯลฯ ซึ่งจะทำให้เราเลือกที่จะพูดจากับเขาได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
· ท่าทาง ท่าทางที่แสดงอกขณะรับฟังและทำให้คู่สนทนาอยากพูดคุยด้วย ได้แก่ การผงกศีรษะรับฟัง การโน้มตัวเข้าหา คนที่ใช้อารมณ์จะแสดงอีกลักษณะหนึ่ง เช่น กอดอก ยืนตัวแข็ง เป็นต้น
· การสัมผัส เช่น การจับมือ จับต้นแขน การโอบกอด จะให้ความรู้ใจ เข้าใจ อบอุ่น รักใคร่ และสนิทสนมได้เป็นอย่างดี
· ระยะห่าง การพูดคุยจะมีบรรยากาศที่ดีขึ้น หากทั้งสองฝ่ายพูดคุยในระยะใกล้กัน การพูดคุยในระยะห่าง จะทำให้ต้องใช้เสียงดับ และไม่มีโอกาสสบตากัน จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ง่าย
จากแนวคิดดังกล่าว จะเห็นว่า การสื่อสารที่ดีในครอบครัว เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งสำหรับการอยู่ร่วมกันในชีวิตประจำวัน ถึงแม้ว่าสังคมไทย จะมิได้จัดลำดับเกี่ยวกับการสื่อสารว่ามีความสำคัญเป็นเบื้องแรกก็ตาม ปัจจุบัน การนำเรื่องการสื่อสารมาใช้ในการช่วยแก้ปัญหาครอบครัว ได้รับการยืนยันว่า จะช่วยลดอุณหภูมิปัญหาได้ระดับหนึ่ง และมีผลสะท้อนทำให้เกิดความเข้าใจที่ดี เกิดความสัมพันธ์ที่ดี สร้างความรัก ความผูกพันระหว่างกัน และยังช่วยแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นระหว่างสมาชิกในครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การปฏิบัติธรรมในศาสนาอิสลาม
การปฏิบัติธรรมตามคำสอนของอิสลามนั้น ครอบคลุมเกินความหมายของคำว่า “ ศาสนา ” ที่คนจำนวนมากในโลกนี้เข้าใจกัน เพราะมีคำสอนที่จัดระบบชีวิตทั้งหมด เนื้อหาการปฏิบัติธรรมในอิสลามมีเนื้อหาเกี่ยวข้องทั้งที่เรียกว่า “ ศาสนา ” และส่วนที่เรียกว่าชีวิต “ ทางโลก ” อิสลามมิได้แยกเรื่องนี้ออกจากกัน ลักษณะสำคัญที่ทำลายกำแพงกั้นกลางระหว่างสองโลกนี้ก็คือ การปฏิเสธระบอบ “พระ” ในคำสอนอิสลาม มุสลิม ทุกคนจึงต้องเป็นทั้งพระและฆราวาสในตัวของเขาเอง
ดังนั้น ขอบเขตการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของอิสลามจึงเริ่มตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ตั้งแต่ตื่นนอนไปถึงเข้านอน ทั้งในชีวิตส่วนตัวและส่วนรวมทั้งในบ้านและนอกบ้าน คำสอนอิสลามจึงมิได้จำกัดเฉพาะเรื่องปฏิบัติศาสนกิจ แต่ยังครอบคลุมถึงการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม อีกด้วย
เนื่องจากการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของอิสลามเป็นโครงสร้างที่กว้างขวาง จนทำให้คนที่ศึกษาคิดไปเองว่า ระบอบแบบนี้คงบีบรัดมุสลิมสร้างความลำบากด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ นั่นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
จริงอยู่ ระบอบอิสลามมีเนื้อหาครอบคลุมรายละเอียดในด้านต่างๆ ของชีวิต แต่การดำเนินชีวิตมุสลิมนั้น ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย เนื่องจาก คำสอนอิสลามได้สร้างฐานประพฤติปฏิบัติสำหรับรองรับองค์ประกอบย่อยของคำสอนอิสลามไว้ก่อนแล้ว ดังที่ท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้กล่าวถึง “ ข้อปฏิบัติธรรม ” ไว้ว่า
อิสลามถูกสร้างบนฐาน 5 ประการ
… คือท่านต้องปฏิญาณว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดเว้นแต่ อัลลอฮุ และมุฮัมมัดเป็นศาสนฑูตของอัลลอฮุ ท่านต้องดำรงการละหมาด ท่านต้องจ่ายชะกาต ท่านต้องถือศีลอดในเดือนรอมฏอน และท่านต้องไปบำเพ็ญฮัจญ์ ณ บัยตุลลอฮุ หากท่านมีความสามารถที่จะปฏิบัติได้” ( รายงานโดยมุสลิม ) …
ข้อปฏิบัติธรรมที่คำสอนของอิสลามเรียกร้องให้มีการสร้างขึ้น เพื่อรองรับการสถาปนาระบอบอิสลามทั้งหมดนั้น มี 5 ประการ
ข้อปฏิบัติธรรมประการที่ 1 การปฏิญาณตน
การประกาศอุดมการณ์และแนวทางอย่างเปิดเผย เรียกว่า ซะฮาดะฮ ( การเป็นพยาน , การปฏิญาณ ) ประกอบด้วย 2 ซะฮาดะฮ
ซะฮาดะฮแรก เป็นคำประกาศเป้าหมายของชีวิต คือกล่าวว่า “ ลาอิลาฮะ อิลลัล ลอฮฺ” “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรได้รับการเคารพบูชา เว้นแต่อัลลอฮฺเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือหลักการศรัทธา
ซะฮาดะฮที่สอง เป็นการประกาศ “ แบบแห่งชีวิต” นั่นคือการดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของผู้นำสาส์น คือกล่าวว่า “ มุฮัมมะดุรฺ เราะซูลุลลอฮ” “ มุฮัมมัด เป็นผู้นำสาส์นจาก อัลลอฮ ”
ข้อปฏิบัติธรรม ประการที่ 2 การละหมาด
การยืนหยัดการละหมาดวันละ 5 เวลา เป็นข้อปฏิบัติธรรมที่แสดงการปฏิบัติอย่าง ชัดเจน เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อให้ภาพแห่งการยอมจำนนของตนเองจากการประกาศซะฮาดะฮให้เห็นได้อย่างชัดเจน
การละหมาดเป็นการแสดงการภักดีต่อพระเจ้าที่มีรูปแบบเฉพาะ มีการกำหนดเวลาตามช่วงเวลาต่างๆ ของวันและคืนหนึ่ง 5 ครั้ง ( ซึ่งใช้เวลาปฏิบัติครั้งละ 10 – 15 นาที )
การละหมาดเป็นการขัดเกลาทางจิตวิญญาณ การใคร่ครวญทางปัญญาและการเคลื่อนไหวทางกายภาพ ทุกสิ่งประสานกลมกลืนเข้าด้วยกันในละหมาด ดังนั้น การละหมาดคือการตอบสนองภาวะทุกด้านของความเป็นมนุษย์ที่มีต่อพระผู้สร้างนั่นเอง
การละหมาดยังถูกกำหนดให้ผู้ชายมุสลิมกระทำร่วมกันเป็นญะมาอะฮ ( หมู่คณะ ) ที่มัสญิด มีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ละหมาด เช่น การจัดรูปแบบของแถวละหมาด การเป็นผู้นำละหมาด เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีละหมาดประจำวันศุกร์ทุกๆ สัปดาห์ ซึ่งกำหนดให้ผู้ชายมุสลิมมาชุมนุมร่วมกันที่มัสญิด ( ส่วนผู้หญิงได้รับอนุญาตแต่มิได้วางเป็นข้อกำหนด ) ซึ่งไม่เพียงมีการละหมาดร่วมกันเท่านั้น แต่ยังให้ร่วมกันฟังคุฏบะฮ ( ธรรมกถา ) อีกด้วย
ดังกล่าวนั้น หมายความว่า ข้อปฏิบัติธรรมส่วนนี้ของอิสลามได้ก่อให้เกิดจิตสำนึกทางชุมชนของผู้ศรัทธาร่วมกันตามมาทันที
การละหมาดจะช่วยกำหนดบุคลิกของสังคมมุสลิม นั่นคือจะช่วยให้สังคมเป็นทั้งแบบให้ความสำคัญ ทั้งปัจเจกชนและสังคมไปพร้อมๆ กัน
ความจริง อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุวะดะอาลา พระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องการการละหมาดจากมนุษย์เลย เพราะพระองค์เป็นอิสระจากความต้องการทั้งหมด ดังนั้น ผลที่ได้รับจากละหมาดนั้นก็คือตัวมนุษย์เอง ซึ่งได้ทั้งการพัฒนาตัวเอง และเป็นจุดเริ่มต้นการสร้างชุมชนแห่งศรัทธาอีกด้วย
การละหมาดวันละ 5 เวลา ถือเป็นสัญลักษณ์ในภาคปฎิบัติธรรมที่สำคัญที่สุดในการระบุว่าใครเป็นมุสลิม หรือมิใช่มุสลิม ผู้ปฏิเสธความจำเป็นของการละหมาดจึงไม่อาจนับว่าเป็นมุสลิมได้ แม้เขาจะกล่าวซะฮาดะฮก็ตาม
การละหมาดของมุสลิมทั่วโลกถือว่า เป็นการแสดงออกทางศาสนาที่ต่อเนื่องสม่ำเสมอและยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
ข้อปฏิบัติธรรมประการที่ 3 ซะกาต
การจ่ายซะกาต คือ การกำหนดให้ผู้มีทรัพย์สินในเงื่อนไขที่ครบกำหนดต้องจ่าย ส่วนหนึ่งให้แก่บุคคลที่อิสลามกำหนด ( เช่น คนยากจน เป็นต้น ) ทุกปี โดยทั่วไปจะอยู่ในอัตราร้อยละ 2.5
ซะกาตมีคุณค่าที่ล้ำลึก ทั้งทางมนุษยธรรม สังคม และการเมือง สามารถปลดปล่อยมนุษย์จากความเป็นอยู่แบบชนชั้น และจากความรู้สึกที่เห็นแก่ตัว
ดังกล่าวนี้ เป็นข้อปฏิบัติธรรมแห่งความยุติธรรมทางสังคมที่อิสลามไม่ต้องการให้เป็นเพียงแค่ทฤษฎีที่เป็นนามธรรมเท่านั้น แต่ต้องการให้เห็นผลในทางปฏิบัติทันที ดังนั้น เราจะสังเกตเห็นหลายครั้งที่อัล-กุรอานมักจะกล่าวถึงเรื่องซะกาตตามหลังเรื่องละหมาดทันที
ข้อปฏิบัติธรรมประการที่ 4 การถือศีลอด
ข้อปฏิบัติธรรมสำคัญประการนี้ ได้กำหนดให้เดือนรอมฎอนตามปฏิทินอิสลามเป็นเดือนแห่งการฝึกฝนอย่างเข้มข้น ด้วยการถือศีลอด ด้วยการไม่รับประทานอาหารและน้ำตลอดในช่วงเวลากลางวัน รวมทั้งข้อห้ามอื่นๆ อีกหลายประการ และยังได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจังให้กระทำความดีต่าง ๆ ให้มากเป็นพิเศษ เช่น การอ่านอัล กุรอาน การละหมาด การบริจาค เป็นต้น
การฝึกอบรมตลอดเดือนรอมฏอนสอนมนุษย์ให้รู้จักความอดทน อดกลั้น ความไม่เห็นแก่ตัว ให้รู้จักความพอดี ความพอเพียง รู้จักควบคุมตนเอง และการสร้างวินัย เป็นเสมือนการสั่งสมพลังงานภายในเพื่อนำมาใช้ตลอดปีที่เหลือ
นอกจากนี้ การถือศีลอดเป็นการสร้างจิตสำนึกแห่งการอยู่ร่วมกันทางสังคม ความรักความเอื้ออาทรที่มีต่อผู้อื่น ซึ่งเกิดจากการที่ได้รับรู้ความรู้สึกของเพื่อนมนุษย์ผ่านความหิว ความกระหาย ตลอดเดือนรอมฏอน
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นต่อการถือศีลอดจากคนที่มีใช่มุสลิมอย่างหนึ่งก็คือ การคิดว่านี่เป็นพิธีกรรมที่ทรมานตัวเอง แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว กฎของการถือศีลอดนั้นมิได้ต้องการให้เกิดความหิวเกินกว่าช่วงกลางวัน จึงมีกฎให้รีบละศีลอดทันทีที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า และยัง ส่งเสริมให้มีการรับประทานอาหารก่อนรุ่งเช้าในช่วงก่อนรุ่งสางอีกด้วย
เจตนารมณ์ของการถือศีลอดอยู่ที่การขัดเกลาจิตใจและการสร้างความรู้สึกที่เห็นใจต่อความทุกข์ของมนุษยชาติเท่านั้น โดยผ่านสิ่งสำคัญที่สุดคือ ความรู้สึกหิวในช่วงกลางวัน แต่มิได้ปฏิบัติถึงระดับที่เป็นอันตราย ซึ่งตามคำสอนอิสลามจะต่อต้านรูปแบบทุกชนิดในการทรมาน ตัวเอง
ข้อปฏิบัติธรรมประการที่ 5 การทำฮัจญ์
แนวคิดอิสลามนั้นถือว่ามนุษยชาติเป็นพี่น้องกัน ถูกสร้างมาจากพระผู้ทรงเมตตา ผู้เป็นพระเจ้าที่ไม่มีภาคีใดๆ มีต้นกำเนิดมาจากพ่อแม่เดียวกันคือ อาดัมและเฮาวาอ์ ไม่ว่าจะสีผิว ภาษา หรือเชื้อชาติใด
ดังนั้น สถานที่ชุมนุมแห่งมนุษยชาติเพื่อยืนยันแนวคิดดังกล่าวจึงได้ถูกออกแบบขึ้น เรียกว่า “ฮัจญ์” และสถานที่ถูกกำหนดคือ นครมักกะฮ ซึ่งเป็นดินแดนจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์มนุษยชาติในทัศนะของอิสลาม
การชุมนุมแห่งมนุษยชาตินี้ จึงถูกจัดขึ้นทุกๆ ปี หากมุสลิมคนใดมีความสามารถ ทั้งในด้านสุขภาพและทรัพย์สิน ถือว่าเป็นหน้าที่ถูกกำหนดให้เขาต้องเข้าร่วมอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต
ปัจจุบันนี้ ฮัจญ์ เป็นการชุมนุมมนุษยชาติที่มีผู้เข้าร่วมหลายล้านคน ประกอบไปด้วย ผู้ศรัทธาจากหลากหลายเผ่าพันธุ์ ภาษา และสีผิว
ฮัจญ์ จึงเป็นสัญลักษณ์ของการชุมนุมมนุษยชาติที่แสดงให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของประชาชาติอิสลามที่สืบสานมาตลอดนับพันปีเศษ
สู่การสร้างระบอบชีวิต
ท่านนบีมุฮัมมัด ค็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ให้ภาพอิสลามเหมือนกับ “ บ้าน ” หรือ “ อาคาร ” ซึ่งในการสร้างบ้านนั้นต้องมี “ เสา ” ถ้าอิสลามถูกเปรียบเหมือนบ้านหลังหนึ่ง ท่านนบี ค็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ก็ได้ระบุเสา มี 5 ต้น
อิสลามถูกสร้างบนพื้นฐาน 5 ประการ …. ( รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม )
อุละมาอ์ (นักปราชญ์มุสลิม) บางท่านได้เปรียบเทียบความสัมพันธ์ของรากฐานทั้ง 5 ประการ เฉกเช่น เสาเต็นท์ โดยเสาที่สำคัญที่สุดจะอยู่ตรงกลาง ซึ่งจะช่วยรักษาเสารองๆ ลงมา
ข้อปฏิบัติธรรมในอิสลามประการที่หนึ่ง คือ ซะฮาดะฮ เปรียบเหมือนเสาสำคัญที่สุดที่อยู่ตรงกลาง ส่วนข้อปฏิบัติธรรมอีกสี่ประการต้องอาศัย และพึ่งพารากฐานที่มั่นคงแข็งแรงของรากฐานข้อที่หนึ่งนั่นเอง ยิ่งรากฐานข้อที่หนึ่งถูกต้อง ชัดเจน แข็งแกร่งเท่าใด ก็จะช่วยเพิ่มพลังความแข็งแกร่งให้แก่รากฐานรองๆ ลงมาให้แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
ดังกล่าวนี้ หมายความว่า เสาต้นแรกของอิสลามหรือซะฮาดะฮนั้นเป็นเสาแกนหลักที่มิเพียงค้ำหนุนเสาต้นอื่นๆ แต่เสาต้นอื่นๆ ก็ต้องมาค้ำหนุนเสาแกนหลักเช่นกัน
ดังนั้น ข้อปฏิบัติธรรมในอิสลามทั้ง 5 ประการ จึงดำเนินไปด้วยการประสานกลมกลืนกันเป็นหนึ่งเดียว
การอธิบายของท่านศาสดานบี ค็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ยังชี้ให้เห็นชัดเจนอีกว่า อิสลามนั้นเป็นศาสนาที่เน้นการสร้างระบอบในเชิงปฏิบัติ มิใช่เป็นเพียงทฤษฏี แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ แต่ต้องการสร้างระบอบการแก้ไขปัญหาอย่างได้ผล มีขั้นตอน มีระเบียบแบบแผน
การสร้างอาคารแห่งอิสลาม จึงต้องเริ่มจากเสา หลังจากนั้นองค์ประกอบอื่นๆ ก็จะถูกนำตามมา ไม่ว่าจะเป็นฝาบ้าน หลังคาบ้าน และการตบแต่งภายใน
ดังนั้น เนื้อหาการปฏิบัติอื่นๆ ของอิสลาม เช่น การใช้ชีวิตในครอบครัว เศรษฐกิจ การเมือง เป็นต้น แม้กระทั่งส่วนยอดของอาคารแห้งอิสลามนั้น ท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะ ซัลลัม เรียกว่า ญิฮาด ( การต่อสู่ดิ้นรนในวิถีทางของอัลลอฮฺ )
ดังกล่าวนี้ จะต้องได้รับการเสริมเพิ่มเติมตามลำดับความสำคัญ และให้เป็นไปตามแนวทางการสร้างระบอบอิสลาม นั่นเอง
ดังนั้น ขอบเขตการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของอิสลามจึงเริ่มตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ตั้งแต่ตื่นนอนไปถึงเข้านอน ทั้งในชีวิตส่วนตัวและส่วนรวมทั้งในบ้านและนอกบ้าน คำสอนอิสลามจึงมิได้จำกัดเฉพาะเรื่องปฏิบัติศาสนกิจ แต่ยังครอบคลุมถึงการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม อีกด้วย
เนื่องจากการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของอิสลามเป็นโครงสร้างที่กว้างขวาง จนทำให้คนที่ศึกษาคิดไปเองว่า ระบอบแบบนี้คงบีบรัดมุสลิมสร้างความลำบากด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ นั่นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
จริงอยู่ ระบอบอิสลามมีเนื้อหาครอบคลุมรายละเอียดในด้านต่างๆ ของชีวิต แต่การดำเนินชีวิตมุสลิมนั้น ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย เนื่องจาก คำสอนอิสลามได้สร้างฐานประพฤติปฏิบัติสำหรับรองรับองค์ประกอบย่อยของคำสอนอิสลามไว้ก่อนแล้ว ดังที่ท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้กล่าวถึง “ ข้อปฏิบัติธรรม ” ไว้ว่า
อิสลามถูกสร้างบนฐาน 5 ประการ
… คือท่านต้องปฏิญาณว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดเว้นแต่ อัลลอฮุ และมุฮัมมัดเป็นศาสนฑูตของอัลลอฮุ ท่านต้องดำรงการละหมาด ท่านต้องจ่ายชะกาต ท่านต้องถือศีลอดในเดือนรอมฏอน และท่านต้องไปบำเพ็ญฮัจญ์ ณ บัยตุลลอฮุ หากท่านมีความสามารถที่จะปฏิบัติได้” ( รายงานโดยมุสลิม ) …
ข้อปฏิบัติธรรมที่คำสอนของอิสลามเรียกร้องให้มีการสร้างขึ้น เพื่อรองรับการสถาปนาระบอบอิสลามทั้งหมดนั้น มี 5 ประการ
ข้อปฏิบัติธรรมประการที่ 1 การปฏิญาณตน
การประกาศอุดมการณ์และแนวทางอย่างเปิดเผย เรียกว่า ซะฮาดะฮ ( การเป็นพยาน , การปฏิญาณ ) ประกอบด้วย 2 ซะฮาดะฮ
ซะฮาดะฮแรก เป็นคำประกาศเป้าหมายของชีวิต คือกล่าวว่า “ ลาอิลาฮะ อิลลัล ลอฮฺ” “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรได้รับการเคารพบูชา เว้นแต่อัลลอฮฺเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือหลักการศรัทธา
ซะฮาดะฮที่สอง เป็นการประกาศ “ แบบแห่งชีวิต” นั่นคือการดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของผู้นำสาส์น คือกล่าวว่า “ มุฮัมมะดุรฺ เราะซูลุลลอฮ” “ มุฮัมมัด เป็นผู้นำสาส์นจาก อัลลอฮ ”
ข้อปฏิบัติธรรม ประการที่ 2 การละหมาด
การยืนหยัดการละหมาดวันละ 5 เวลา เป็นข้อปฏิบัติธรรมที่แสดงการปฏิบัติอย่าง ชัดเจน เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อให้ภาพแห่งการยอมจำนนของตนเองจากการประกาศซะฮาดะฮให้เห็นได้อย่างชัดเจน
การละหมาดเป็นการแสดงการภักดีต่อพระเจ้าที่มีรูปแบบเฉพาะ มีการกำหนดเวลาตามช่วงเวลาต่างๆ ของวันและคืนหนึ่ง 5 ครั้ง ( ซึ่งใช้เวลาปฏิบัติครั้งละ 10 – 15 นาที )
การละหมาดเป็นการขัดเกลาทางจิตวิญญาณ การใคร่ครวญทางปัญญาและการเคลื่อนไหวทางกายภาพ ทุกสิ่งประสานกลมกลืนเข้าด้วยกันในละหมาด ดังนั้น การละหมาดคือการตอบสนองภาวะทุกด้านของความเป็นมนุษย์ที่มีต่อพระผู้สร้างนั่นเอง
การละหมาดยังถูกกำหนดให้ผู้ชายมุสลิมกระทำร่วมกันเป็นญะมาอะฮ ( หมู่คณะ ) ที่มัสญิด มีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ละหมาด เช่น การจัดรูปแบบของแถวละหมาด การเป็นผู้นำละหมาด เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีละหมาดประจำวันศุกร์ทุกๆ สัปดาห์ ซึ่งกำหนดให้ผู้ชายมุสลิมมาชุมนุมร่วมกันที่มัสญิด ( ส่วนผู้หญิงได้รับอนุญาตแต่มิได้วางเป็นข้อกำหนด ) ซึ่งไม่เพียงมีการละหมาดร่วมกันเท่านั้น แต่ยังให้ร่วมกันฟังคุฏบะฮ ( ธรรมกถา ) อีกด้วย
ดังกล่าวนั้น หมายความว่า ข้อปฏิบัติธรรมส่วนนี้ของอิสลามได้ก่อให้เกิดจิตสำนึกทางชุมชนของผู้ศรัทธาร่วมกันตามมาทันที
การละหมาดจะช่วยกำหนดบุคลิกของสังคมมุสลิม นั่นคือจะช่วยให้สังคมเป็นทั้งแบบให้ความสำคัญ ทั้งปัจเจกชนและสังคมไปพร้อมๆ กัน
ความจริง อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุวะดะอาลา พระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องการการละหมาดจากมนุษย์เลย เพราะพระองค์เป็นอิสระจากความต้องการทั้งหมด ดังนั้น ผลที่ได้รับจากละหมาดนั้นก็คือตัวมนุษย์เอง ซึ่งได้ทั้งการพัฒนาตัวเอง และเป็นจุดเริ่มต้นการสร้างชุมชนแห่งศรัทธาอีกด้วย
การละหมาดวันละ 5 เวลา ถือเป็นสัญลักษณ์ในภาคปฎิบัติธรรมที่สำคัญที่สุดในการระบุว่าใครเป็นมุสลิม หรือมิใช่มุสลิม ผู้ปฏิเสธความจำเป็นของการละหมาดจึงไม่อาจนับว่าเป็นมุสลิมได้ แม้เขาจะกล่าวซะฮาดะฮก็ตาม
การละหมาดของมุสลิมทั่วโลกถือว่า เป็นการแสดงออกทางศาสนาที่ต่อเนื่องสม่ำเสมอและยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
ข้อปฏิบัติธรรมประการที่ 3 ซะกาต
การจ่ายซะกาต คือ การกำหนดให้ผู้มีทรัพย์สินในเงื่อนไขที่ครบกำหนดต้องจ่าย ส่วนหนึ่งให้แก่บุคคลที่อิสลามกำหนด ( เช่น คนยากจน เป็นต้น ) ทุกปี โดยทั่วไปจะอยู่ในอัตราร้อยละ 2.5
ซะกาตมีคุณค่าที่ล้ำลึก ทั้งทางมนุษยธรรม สังคม และการเมือง สามารถปลดปล่อยมนุษย์จากความเป็นอยู่แบบชนชั้น และจากความรู้สึกที่เห็นแก่ตัว
ดังกล่าวนี้ เป็นข้อปฏิบัติธรรมแห่งความยุติธรรมทางสังคมที่อิสลามไม่ต้องการให้เป็นเพียงแค่ทฤษฎีที่เป็นนามธรรมเท่านั้น แต่ต้องการให้เห็นผลในทางปฏิบัติทันที ดังนั้น เราจะสังเกตเห็นหลายครั้งที่อัล-กุรอานมักจะกล่าวถึงเรื่องซะกาตตามหลังเรื่องละหมาดทันที
ข้อปฏิบัติธรรมประการที่ 4 การถือศีลอด
ข้อปฏิบัติธรรมสำคัญประการนี้ ได้กำหนดให้เดือนรอมฎอนตามปฏิทินอิสลามเป็นเดือนแห่งการฝึกฝนอย่างเข้มข้น ด้วยการถือศีลอด ด้วยการไม่รับประทานอาหารและน้ำตลอดในช่วงเวลากลางวัน รวมทั้งข้อห้ามอื่นๆ อีกหลายประการ และยังได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจังให้กระทำความดีต่าง ๆ ให้มากเป็นพิเศษ เช่น การอ่านอัล กุรอาน การละหมาด การบริจาค เป็นต้น
การฝึกอบรมตลอดเดือนรอมฏอนสอนมนุษย์ให้รู้จักความอดทน อดกลั้น ความไม่เห็นแก่ตัว ให้รู้จักความพอดี ความพอเพียง รู้จักควบคุมตนเอง และการสร้างวินัย เป็นเสมือนการสั่งสมพลังงานภายในเพื่อนำมาใช้ตลอดปีที่เหลือ
นอกจากนี้ การถือศีลอดเป็นการสร้างจิตสำนึกแห่งการอยู่ร่วมกันทางสังคม ความรักความเอื้ออาทรที่มีต่อผู้อื่น ซึ่งเกิดจากการที่ได้รับรู้ความรู้สึกของเพื่อนมนุษย์ผ่านความหิว ความกระหาย ตลอดเดือนรอมฏอน
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นต่อการถือศีลอดจากคนที่มีใช่มุสลิมอย่างหนึ่งก็คือ การคิดว่านี่เป็นพิธีกรรมที่ทรมานตัวเอง แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว กฎของการถือศีลอดนั้นมิได้ต้องการให้เกิดความหิวเกินกว่าช่วงกลางวัน จึงมีกฎให้รีบละศีลอดทันทีที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า และยัง ส่งเสริมให้มีการรับประทานอาหารก่อนรุ่งเช้าในช่วงก่อนรุ่งสางอีกด้วย
เจตนารมณ์ของการถือศีลอดอยู่ที่การขัดเกลาจิตใจและการสร้างความรู้สึกที่เห็นใจต่อความทุกข์ของมนุษยชาติเท่านั้น โดยผ่านสิ่งสำคัญที่สุดคือ ความรู้สึกหิวในช่วงกลางวัน แต่มิได้ปฏิบัติถึงระดับที่เป็นอันตราย ซึ่งตามคำสอนอิสลามจะต่อต้านรูปแบบทุกชนิดในการทรมาน ตัวเอง
ข้อปฏิบัติธรรมประการที่ 5 การทำฮัจญ์
แนวคิดอิสลามนั้นถือว่ามนุษยชาติเป็นพี่น้องกัน ถูกสร้างมาจากพระผู้ทรงเมตตา ผู้เป็นพระเจ้าที่ไม่มีภาคีใดๆ มีต้นกำเนิดมาจากพ่อแม่เดียวกันคือ อาดัมและเฮาวาอ์ ไม่ว่าจะสีผิว ภาษา หรือเชื้อชาติใด
ดังนั้น สถานที่ชุมนุมแห่งมนุษยชาติเพื่อยืนยันแนวคิดดังกล่าวจึงได้ถูกออกแบบขึ้น เรียกว่า “ฮัจญ์” และสถานที่ถูกกำหนดคือ นครมักกะฮ ซึ่งเป็นดินแดนจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์มนุษยชาติในทัศนะของอิสลาม
การชุมนุมแห่งมนุษยชาตินี้ จึงถูกจัดขึ้นทุกๆ ปี หากมุสลิมคนใดมีความสามารถ ทั้งในด้านสุขภาพและทรัพย์สิน ถือว่าเป็นหน้าที่ถูกกำหนดให้เขาต้องเข้าร่วมอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต
ปัจจุบันนี้ ฮัจญ์ เป็นการชุมนุมมนุษยชาติที่มีผู้เข้าร่วมหลายล้านคน ประกอบไปด้วย ผู้ศรัทธาจากหลากหลายเผ่าพันธุ์ ภาษา และสีผิว
ฮัจญ์ จึงเป็นสัญลักษณ์ของการชุมนุมมนุษยชาติที่แสดงให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของประชาชาติอิสลามที่สืบสานมาตลอดนับพันปีเศษ
สู่การสร้างระบอบชีวิต
ท่านนบีมุฮัมมัด ค็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ให้ภาพอิสลามเหมือนกับ “ บ้าน ” หรือ “ อาคาร ” ซึ่งในการสร้างบ้านนั้นต้องมี “ เสา ” ถ้าอิสลามถูกเปรียบเหมือนบ้านหลังหนึ่ง ท่านนบี ค็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ก็ได้ระบุเสา มี 5 ต้น
อิสลามถูกสร้างบนพื้นฐาน 5 ประการ …. ( รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม )
อุละมาอ์ (นักปราชญ์มุสลิม) บางท่านได้เปรียบเทียบความสัมพันธ์ของรากฐานทั้ง 5 ประการ เฉกเช่น เสาเต็นท์ โดยเสาที่สำคัญที่สุดจะอยู่ตรงกลาง ซึ่งจะช่วยรักษาเสารองๆ ลงมา
ข้อปฏิบัติธรรมในอิสลามประการที่หนึ่ง คือ ซะฮาดะฮ เปรียบเหมือนเสาสำคัญที่สุดที่อยู่ตรงกลาง ส่วนข้อปฏิบัติธรรมอีกสี่ประการต้องอาศัย และพึ่งพารากฐานที่มั่นคงแข็งแรงของรากฐานข้อที่หนึ่งนั่นเอง ยิ่งรากฐานข้อที่หนึ่งถูกต้อง ชัดเจน แข็งแกร่งเท่าใด ก็จะช่วยเพิ่มพลังความแข็งแกร่งให้แก่รากฐานรองๆ ลงมาให้แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
ดังกล่าวนี้ หมายความว่า เสาต้นแรกของอิสลามหรือซะฮาดะฮนั้นเป็นเสาแกนหลักที่มิเพียงค้ำหนุนเสาต้นอื่นๆ แต่เสาต้นอื่นๆ ก็ต้องมาค้ำหนุนเสาแกนหลักเช่นกัน
ดังนั้น ข้อปฏิบัติธรรมในอิสลามทั้ง 5 ประการ จึงดำเนินไปด้วยการประสานกลมกลืนกันเป็นหนึ่งเดียว
การอธิบายของท่านศาสดานบี ค็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ยังชี้ให้เห็นชัดเจนอีกว่า อิสลามนั้นเป็นศาสนาที่เน้นการสร้างระบอบในเชิงปฏิบัติ มิใช่เป็นเพียงทฤษฏี แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ แต่ต้องการสร้างระบอบการแก้ไขปัญหาอย่างได้ผล มีขั้นตอน มีระเบียบแบบแผน
การสร้างอาคารแห่งอิสลาม จึงต้องเริ่มจากเสา หลังจากนั้นองค์ประกอบอื่นๆ ก็จะถูกนำตามมา ไม่ว่าจะเป็นฝาบ้าน หลังคาบ้าน และการตบแต่งภายใน
ดังนั้น เนื้อหาการปฏิบัติอื่นๆ ของอิสลาม เช่น การใช้ชีวิตในครอบครัว เศรษฐกิจ การเมือง เป็นต้น แม้กระทั่งส่วนยอดของอาคารแห้งอิสลามนั้น ท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะ ซัลลัม เรียกว่า ญิฮาด ( การต่อสู่ดิ้นรนในวิถีทางของอัลลอฮฺ )
ดังกล่าวนี้ จะต้องได้รับการเสริมเพิ่มเติมตามลำดับความสำคัญ และให้เป็นไปตามแนวทางการสร้างระบอบอิสลาม นั่นเอง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)