อัล-กุรอานเป็นคัมภีร์ที่อัลลอฮฺ (ซุบฯ) ทรงประทานผ่านท่านญิบรีลแก่ท่านศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) เพื่อประกาศเป็นทางนำแก่มนุษยชาติ โดยใช้เวลารวม 23 ปี อัล-กุรอานเป็นคัมภีร์ที่ประมวลเรื่องราวแห่งความเร้นลับในอดีตกาล รวมทั้งเรื่องราวอันเร้นลับที่เกิดขึ้นในโลกอาคิเราะห์ เป็นธรรมนูญชีวิตของมุสลิมที่จุดประกายด้วยศาสตร์ สาระ ความรู้ และวิทยาการต่าง ๆ และสอดคล้องกับทุกยุค ทุกสมัย เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้น ได้ประจักษ์ความจริงมาเป็นลำดับ ตามที่ระบุในอัล-กุรอานทั้งสิ้น และอัล-กุรอานเป็นคัมภีร์ที่ไม่เคยได้รับการสังคายนา แก้ไขหรือเพิ่มเติมแต่อย่างใด ทุกอักษร ทุกคำ และทุกประโยค ยังคงเหมือนเดิมเฉกเช่นสมัยของท่านศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) กล่าวคือ ในยุคสมัยของท่านศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) เป็นเช่นไร ปัจจุบัน ก็ยังเป็นอยู่เช่นนั้น ตราบจนถึงวันสิ้นโลก
อัล-กุรอานเป็นคัมภีร์เล่มหนึ่งในสี่เล่มที่มาจากอัลลอฮฺ (ซุบฯ) เช่นเดียวกับคัมภีร์เตารอตที่ประทานให้แก่ท่านศาสดามูซา (Moses) คัมภีร์อันญีลที่ประทานให้แก่ท่านศาสดาอีซา (Jesus Christ) คัมภีร์ซะบูรฺที่ประทานให้แก่ท่านศาสดาดาวูด (David) คัมภีร์ดังกล่าวได้รับการประทานครั้งเดียวทั้งเล่ม แต่คัมภีร์อัล-กุรอานได้รับการประทานเป็นครั้งคราว แล้วแต่สถานการณ์ที่อุบัติขึ้น เป็นเวลานานถึง 23 ปี ความแตกต่างอีกอยางหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ ศาสดามูซา ศาสดาอีซา และศาสดาดาวูด เป็นผู้ที่อ่านออกเขียนได้ และเผยแผ่อิสลามในอาณาบริเวณที่จำกัด แต่ศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) เป็นผู้ที่อ่านหนังสือไม่ออกและเขียนหนังสือไม่ได้ ได้เผยแผ่อิสลามในอาณาบริเวณโดยไร้พรมแดน คุณลักษณะของท่านศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ที่อ่านและเขียนหนังสือไม่ได้ ถือเป็นความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งที่ท้าทายผู้ไม่ศรัทธา เพื่อการพิสูจน์ความเป็นศาสดาของท่าน
เมื่อท่านศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้รับโองการแห่งอัล-กุรอานแต่ละอายะห์ และซูเราะห์ ก็มอบให้เซดบินซาบิดเป็นผู้บันทึกไว้ตามแผ่นกระดูกที่สะอาด กาบอินทผาลัม แผ่นกระดาน และดินปั้นเป็นอย่างดี ส่วนการรวบรวมอัล-กุรอานเป็นรูปเล่มนั้น ได้ดำเนินการอย่างจริงจังในสมัยคอลีฟะห์อุมัร รวม 6 เล่ม และส่งไปยังเมือง และประเทศต่าง ๆ คือ มะดีนะห์ ซีเรีย กูฟะห์ บาซอเราะห์ มักกะห์ และเซดบินซาบิดเก็บรักษาไว้ 1 เล่ม
อัล-กุรอานเป็นเครื่องหมายแห่งความมหัศจรรย์ กล่าวคือ เป็นคัมภีร์ที่ไม่มีบุคคลใดสามารถประพันธ์และเรียบเรียงเท่าเทียมได้ ไม่ว่าในด้านความไพเราะ การใช้ถ้อยคำ สำนวนโวหาร และการเชื่อมประโยค ทั้ง ๆ ที่ชาวอาหรับในศตวรรษที่ 7 จะมีชื่อเสียงด้านการใช้ภาษา และการแต่งคำประพันธ์ทางภาษาอาหรับได้เป็นอย่างดีก็ตาม
อัล-กุรอานมิใช่หนังสือประวัติศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ ความจริง เป็นคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จุดมุ่งหมายสำคัญของคัมภีร์อัล-กุรอานคือทางนำของ
มนุษย์ และชี้นำสัจธรรมแห่งการดำรงชีวิต (Facts of Existence) และประมวลความรู้ ความกรุณาเมตตาอย่างกว้างขวาง ดังปรากฏโองการแห่งอัล-กุรอาน ดังนี้
ความว่า คัมภีร์นี้ ไม่มีผู้สงสัยใด ๆ เป็นทางนำสำหรับผู้ที่มีความยำเกรง (2 : 2)
ความว่า แท้จริง อัล-กุรอานนี้นำสุ่ทางอันเที่ยงตรง และแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาที่ประกอบคุณความดีทั้งหลายว่า สำหรับพวกเขานั้น จะได้รับการตอบแทนอันยิ่งใหญ่ (17 : 9)
ความว่า โอ้ มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงข้อตักเตือน (อัล-กุรอาน) จากพระเจ้าของพวกท่าน ได้มายังพวกท่านแล้ว และ(มัน) เป็นการบำบัดสิ่งที่มีอยู่ในทรวงอก และเป็นการชี้แนะทาง และเป็นความเมตตาแก่บรรดาผู้ศรัทธา (10 : 57)
อัล-กุรอาน เป็นคัมภีร์ที่ประกอบด้วยอายะห์ต่าง ๆ หลายร้อยอายะห์ ซึ่งล้วนมีจุดหมายชัดเจนในการชี้นำมนุษย์ให้ยึดมั่นพระเจ้าองค์เดียว มุสลิมมีความเชื่อมั่นว่า ความรู้ที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์ผ่านคัมภีร์อัล-กุรอานนั้น เป็นสัจธรรม เมื่อบุคคลใดยอมรับแนวคิดนี้ เขาก็เป็นผู้ศรัทธา เป็นผู้ตระหนักแห่งความกรุณาเมตตาของพระเจ้า อัล-กุรอานได้ชี้อย่างชัดเจนว่า ผู้ศรัทธาที่แท้จริงนั้นจะได้รับความปิติยินดี ความสันติสุข และรางวัลอันยิ่งใหญ่ ทั้งในชีวิตแห่งโลกนี้ และหลังจากสิ้นลมปราณแล้ว
มุสลิมที่ศึกษาอัล-กุรอานอย่างลึกซึ้ง สามารถสร้างความสมดุลแห่งชีวิตทั้งด้านจิตใจและวัตถุได้ ทั้งนี้ เนื่องจากได้รับคำสอนจากอัล-กุรอานให้ศรัทธว่า อัล-กุรอานเป็นโองการแห่งพระเจ้า โดยสอนว่า มนุษย์เกิดมาในสายกลาง ปราศจากบาป และโดยธรรมชาติแล้ว เป็นผู้ที่ไม่มีบาป อัล-กุรอานสอนให้มนุษย์ประกอบคุณงามความดี และหลีกเลี่ยงความผิดที่ร้ายแรง หรือการทำบาปทั้งปวง ดังนั้น สาระแห่งอัล-กุรอาน อาจแบ่งได้ ดังนี้
1. ภาคจิตวิญญาณ (Spiritual Issues)
1.1. พระผู้สร้าง (Creation) พระเจ้าบังเกิดมนุษย์และจักรวาล โดยมอบหมายมนุษย์เป็นผู้กำกับดูแลแทน วิญญาณและจิตใจของมนุษย์เป็นพลังชนิดหนึ่งที่มองไม่เห็น แต่สามารถรับผลแห่งความรู้สึกได้ ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ย่อมมีความรับผิดชอบแห่งผลกรรม โดยพระผู้เป็นเจ้าส่งเสริมมนุษย์ให้มีการพัฒนาพลังจิตตามหลักธรรมคำสอนเป็นสำคัญ
1.2. มลาอีกะห์(Angles) มุสลิมมีความเชื่อว่ามลาอีกะห์เป็นการศรัทธาข้อหนึ่งใน 6 ประการ อัลลอฮ์ (ซุบฯ) ได้กำหนดให้มลาอีกะห์เป็นเทวทูต เพื่อปฏิบัติดีตามพระบัญชาของพระองค์ ความสัมพันธ์ระหว่างมลาอีกะห์กับมนุษย์ในอัล-กุรอาน คือเป็นผู้บันทึกพฤติกรรมของมนุษย์ บทบาท
ที่ตรงกันข้ามกับมลาอีกะห์คือไชฏอน ที่คอยยุยงให้มนุษย์ทำความชั่ว ดังนั้น สิ่งที่ถูกสร้างทั้งสองนี้ ย่อมมีความแตกต่างกับมนุษย์อย่างชัดเจน
1.3. ความตาย (Death) ความตายเป็นการแยกวิญญาณออกจากร่างกาย อัล-กุรอานได้ระบุว่า วิญญาณยังคงมีอยู่หลังจากออกจากร่างกายแล้ว และวิญญาณย่อมผ่านประสบการณ์ 2 ลักษณะ โดยลักษณะแรกคือ ความรู้ และความอ่อนไหว สิ่งดังกล่าวเป็นการทรมานจากความชั่วที่บุคคลนั้นได้รับ ก่อนขณะที่มีชีวิต และยินดีในคุณความดีที่ได้ปฏิบัติ ส่วนอีกลักษณะหนึ่งก็คือ จะคงอยู่ถึงวันแห่งการพิพากษา (Day of Judgement) ซึ่งมนุษย์ทั้งหมดจะอยู่ ณ ที่นั้น
1.4. วันแห่งการพิพากษา (Day of Judgement) เป็นวันที่มนุษย์ได้รับการทดสอบจากพระผู้สร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลที่ไม่เชื่อฟังและสร้างภาคีกับพระองค์ จะได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง ตรงกันข้าม บุคคลที่ศรัทธาต่อพระองค์ ยอมรับในศาสนทูตของพระองค์ และปฏิบัติตามพระบัญชาและกฎหมาย ย่อมได้รับการตอบแทนเป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่
1.5. การช่วยเหลือ (Salvation) อัล-กุรอานมิได้รับรองการให้ความช่วยเหลือ นอกจากการประกอบคุณงามความดีของแต่ละบุคคล ในอัล-กุรอานมีหลายอายะห์ที่ระบุให้ทุกคนรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองปฏิบัติ เพื่อการแสดงออกซึ่งความเอื้ออาทรระหว่างกัน
2. ภาคโลกมนุษย์ (Mudane Issues)
อัล-กุรอาน มีหลายอายะหที่ท่านศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้รับวะหฺยู ณ นครมะดีนะห์ โดยจำแนกได้ 3 มิติ กล่าวคือ ในฐานะศาสนทูต ปัจเจกชน และอุมมะห์มุสลิมหรือสังคม ดังนี้
2.1. ศาสนทูตแห่งพระเจ้า (The Servant of God) อัล-กุรอานได้กำหนดนิยามความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า โดยมุ่งเน้นว่า มนุษย์เป็นสิทธิของพระเจ้า และต้องเคารพภักดี
อัลลอฮฺ (ซุบฯ) ทรงกำหนดการละหมาด ซะกาต การถือศีลอด และการบำเพ็ญฮัจย์เป็นหลักการเพื่อนำศรัทธาชนให้สามารถติดต่อกับพระเจ้า และให้ความช่วยเหลือเพื่อการดำรงตนอย่างมีความสุข
2.2. ครอบครัว (Family) หน่วยพื้นฐานของมนุษยชาติคือครอบครัว ถือว่าเป็นสังคมแห่งเพศหญิงและเพศชาย การแต่งงานในอิสลามถูกกำหนดสำหรับปัจเจกชนเมื่อมีความพร้อม เพราะครอบครัวเป็นสถาบันแห่งการมีสุขภาพดีของชาติพันธุ์
2.3. สังคม (Society) อัล-กุรอานมีคำสอนเกี่ยวกับแนวคิดใหม่ของสังคมมนุษย์ บุคคลที่ศรัทธาต่ออัลอฮฺ ศาสนทูต และคัมภีร์ของพระองค์คืออุมมะห์ที่แท้จริง และอุดมการณ์ของอุมมะห์คือ อัล-กุรอาน สำหรับอุมมะห์จำเป็นต้องดำเนินการให้ได้รับความสำเร็จ 3 ประการคือ
2.3.1. การสังเคราะห์ (Welfare) ตามนัยแห่งอัล-กุรอาน การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถอันก่อให้เกิดผลดี หากหลักธรรมข้อนี้ได้รับการปฏิบัติทั้งโดยสมัครใจ ถือว่าบุคคลนั้นเปี่ยมล้นแห่งความกรุณาเมตตาอย่างแท้จริง สำหรับอุมมะห์ที่มีความรับผิดชอบต่อกัน กรณีการสร้างความมั่นคงแก่ชุมชนนั้น ประกอบด้วย 3 ลักษณะ คือ
ก. การให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ (Mutual Economic Aid) ความรับผิดชอบลักษณะนี้คือ ซะกาต อย่างน้อยที่สุด 2 ½% ต้องจ่ายให้คนยากจน ผู้ขาดแคลน ขัดสนตามนัยแห่งอัล-กุรอาน
ข. ความรับผิดชอบทางสังคม (Mutual Social Responsibility) หากความเป็น “เอกภาพ” เป็นหลักการข้อหนึ่งของอิสลาม ถัดมาคือการเรียกร้องเชิญชวนสู่ความดี ห้ามปรามจากความชั่ว ในอัล-กุรอานมีหลายอายะห์ที่เน้นย้ำการให้ความสำคัญเกี่ยวกับการช่วยเหลือสังคมส่วนรวม
ค. ความมั่นคงปลอดภัย (Mutual Security) อุมมะห์ย่อมมีความรับผิดชอบต่อความมั่นคงปลอดภัย ทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม
3. งานดะอ์วะห์ (Da’wa/Missionary Work)
เมื่ออุมมะห์มีการรวมตัวเป็นกลุ่มพวก หรือสังคม ก็จะมีการดำเนินการเผยแผ่อิสลามโดยการเชิญชวนบุคคลให้ยึดมั่นในพระเจ้าองค์เดียว มีหลายอายะห์ในอัล-กุรอานที่กล่าวถึงชาวคัมภีร์ คือ ยิวและคริสเตียน และการเชิญชวนให้ศรัทธาในอิสลาม อย่างไรก็ตาม มุสลิมยอมรับในฐานะศาสนาของศาสดาอิบรอฮีม (Abraham) ศาสดามูซา (Moses) และศาสดาอีซา (Jesus Christ) ไม่มีมุสลิมคนใด ที่ไดรับอนุญาตให้ใช้วิธีการบังคับหรือวิธีการรุนแรงในการเชิญชวนสู่อิสลาม
งานดะอ์วะห์เป็นการเรียกร้องเชิญชวนมุสลิมให้เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับบุคคลอื่น ตามแนวทางแห่งอัล-กุรอานและนำชีวิตสู่คุณธรรม
จากสารัตถะแห่งข้อมูลดังกล่าว อาจประมวลได้ว่า อัล-กุรอานเป็นคัมภีร์อันประเสริฐ และเอื้อให้มนุษย์มีศูนย์กลางแห่งชีวิต รู้จักการกระตุ้นเตือนมนุษย์ให้เพิ่มพูนความรู้ เพื่อยกระดับมาตรฐานของสังคมมนุษย์ อัล-กุรอานสอนให้มุสลิมมีความเข้าใจในจักรวาลอันไพศาล และสั่งสมความรู้ทั้งมวลด้วยความอดทนและยุติธรรม ยิ่งกว่านั้น อัล-กุรอานเป็นคัมภีร์ที่เปี่ยมล้นด้วยวิทยากรด้านต่าง ๆ และเป็นทางนำสำหรับมนุษยชาติเพื่อสู่ทางรอด หากมุสลิมใช้เวลาเพื่อการอ่าน และศึกษาความหมายอย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว นอกจากจะเป็นการนำตนให้ใกล้ชิดต่อโองการแห่งอัลลอฮฺ (ซุบฯ) แล้ว ยังเป็นการยกระดับจิตวิญญาณของตนให้สูงขึ้น และดื่มด่ำกับความประเสริฐแห่งคัมภีร์อัล-กุรอาน พระคัมภีร์แห่งอัลลอฮ (ซ.บ.) อย่างแท้จริง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น