การปฏิบัติธรรมตามคำสอนของอิสลามนั้น ครอบคลุมเกินความหมายของคำว่า “ ศาสนา ” ที่คนจำนวนมากในโลกนี้เข้าใจกัน เพราะมีคำสอนที่จัดระบบชีวิตทั้งหมด เนื้อหาการปฏิบัติธรรมในอิสลามมีเนื้อหาเกี่ยวข้องทั้งที่เรียกว่า “ ศาสนา ” และส่วนที่เรียกว่าชีวิต “ ทางโลก ” อิสลามมิได้แยกเรื่องนี้ออกจากกัน ลักษณะสำคัญที่ทำลายกำแพงกั้นกลางระหว่างสองโลกนี้ก็คือ การปฏิเสธระบอบ “พระ” ในคำสอนอิสลาม มุสลิม ทุกคนจึงต้องเป็นทั้งพระและฆราวาสในตัวของเขาเอง
ดังนั้น ขอบเขตการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของอิสลามจึงเริ่มตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ตั้งแต่ตื่นนอนไปถึงเข้านอน ทั้งในชีวิตส่วนตัวและส่วนรวมทั้งในบ้านและนอกบ้าน คำสอนอิสลามจึงมิได้จำกัดเฉพาะเรื่องปฏิบัติศาสนกิจ แต่ยังครอบคลุมถึงการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม อีกด้วย
เนื่องจากการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของอิสลามเป็นโครงสร้างที่กว้างขวาง จนทำให้คนที่ศึกษาคิดไปเองว่า ระบอบแบบนี้คงบีบรัดมุสลิมสร้างความลำบากด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ นั่นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
จริงอยู่ ระบอบอิสลามมีเนื้อหาครอบคลุมรายละเอียดในด้านต่างๆ ของชีวิต แต่การดำเนินชีวิตมุสลิมนั้น ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย เนื่องจาก คำสอนอิสลามได้สร้างฐานประพฤติปฏิบัติสำหรับรองรับองค์ประกอบย่อยของคำสอนอิสลามไว้ก่อนแล้ว ดังที่ท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้กล่าวถึง “ ข้อปฏิบัติธรรม ” ไว้ว่า
อิสลามถูกสร้างบนฐาน 5 ประการ
… คือท่านต้องปฏิญาณว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดเว้นแต่ อัลลอฮุ และมุฮัมมัดเป็นศาสนฑูตของอัลลอฮุ ท่านต้องดำรงการละหมาด ท่านต้องจ่ายชะกาต ท่านต้องถือศีลอดในเดือนรอมฏอน และท่านต้องไปบำเพ็ญฮัจญ์ ณ บัยตุลลอฮุ หากท่านมีความสามารถที่จะปฏิบัติได้” ( รายงานโดยมุสลิม ) …
ข้อปฏิบัติธรรมที่คำสอนของอิสลามเรียกร้องให้มีการสร้างขึ้น เพื่อรองรับการสถาปนาระบอบอิสลามทั้งหมดนั้น มี 5 ประการ
ข้อปฏิบัติธรรมประการที่ 1 การปฏิญาณตน
การประกาศอุดมการณ์และแนวทางอย่างเปิดเผย เรียกว่า ซะฮาดะฮ ( การเป็นพยาน , การปฏิญาณ ) ประกอบด้วย 2 ซะฮาดะฮ
ซะฮาดะฮแรก เป็นคำประกาศเป้าหมายของชีวิต คือกล่าวว่า “ ลาอิลาฮะ อิลลัล ลอฮฺ” “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรได้รับการเคารพบูชา เว้นแต่อัลลอฮฺเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือหลักการศรัทธา
ซะฮาดะฮที่สอง เป็นการประกาศ “ แบบแห่งชีวิต” นั่นคือการดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของผู้นำสาส์น คือกล่าวว่า “ มุฮัมมะดุรฺ เราะซูลุลลอฮ” “ มุฮัมมัด เป็นผู้นำสาส์นจาก อัลลอฮ ”
ข้อปฏิบัติธรรม ประการที่ 2 การละหมาด
การยืนหยัดการละหมาดวันละ 5 เวลา เป็นข้อปฏิบัติธรรมที่แสดงการปฏิบัติอย่าง ชัดเจน เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อให้ภาพแห่งการยอมจำนนของตนเองจากการประกาศซะฮาดะฮให้เห็นได้อย่างชัดเจน
การละหมาดเป็นการแสดงการภักดีต่อพระเจ้าที่มีรูปแบบเฉพาะ มีการกำหนดเวลาตามช่วงเวลาต่างๆ ของวันและคืนหนึ่ง 5 ครั้ง ( ซึ่งใช้เวลาปฏิบัติครั้งละ 10 – 15 นาที )
การละหมาดเป็นการขัดเกลาทางจิตวิญญาณ การใคร่ครวญทางปัญญาและการเคลื่อนไหวทางกายภาพ ทุกสิ่งประสานกลมกลืนเข้าด้วยกันในละหมาด ดังนั้น การละหมาดคือการตอบสนองภาวะทุกด้านของความเป็นมนุษย์ที่มีต่อพระผู้สร้างนั่นเอง
การละหมาดยังถูกกำหนดให้ผู้ชายมุสลิมกระทำร่วมกันเป็นญะมาอะฮ ( หมู่คณะ ) ที่มัสญิด มีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ละหมาด เช่น การจัดรูปแบบของแถวละหมาด การเป็นผู้นำละหมาด เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีละหมาดประจำวันศุกร์ทุกๆ สัปดาห์ ซึ่งกำหนดให้ผู้ชายมุสลิมมาชุมนุมร่วมกันที่มัสญิด ( ส่วนผู้หญิงได้รับอนุญาตแต่มิได้วางเป็นข้อกำหนด ) ซึ่งไม่เพียงมีการละหมาดร่วมกันเท่านั้น แต่ยังให้ร่วมกันฟังคุฏบะฮ ( ธรรมกถา ) อีกด้วย
ดังกล่าวนั้น หมายความว่า ข้อปฏิบัติธรรมส่วนนี้ของอิสลามได้ก่อให้เกิดจิตสำนึกทางชุมชนของผู้ศรัทธาร่วมกันตามมาทันที
การละหมาดจะช่วยกำหนดบุคลิกของสังคมมุสลิม นั่นคือจะช่วยให้สังคมเป็นทั้งแบบให้ความสำคัญ ทั้งปัจเจกชนและสังคมไปพร้อมๆ กัน
ความจริง อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุวะดะอาลา พระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องการการละหมาดจากมนุษย์เลย เพราะพระองค์เป็นอิสระจากความต้องการทั้งหมด ดังนั้น ผลที่ได้รับจากละหมาดนั้นก็คือตัวมนุษย์เอง ซึ่งได้ทั้งการพัฒนาตัวเอง และเป็นจุดเริ่มต้นการสร้างชุมชนแห่งศรัทธาอีกด้วย
การละหมาดวันละ 5 เวลา ถือเป็นสัญลักษณ์ในภาคปฎิบัติธรรมที่สำคัญที่สุดในการระบุว่าใครเป็นมุสลิม หรือมิใช่มุสลิม ผู้ปฏิเสธความจำเป็นของการละหมาดจึงไม่อาจนับว่าเป็นมุสลิมได้ แม้เขาจะกล่าวซะฮาดะฮก็ตาม
การละหมาดของมุสลิมทั่วโลกถือว่า เป็นการแสดงออกทางศาสนาที่ต่อเนื่องสม่ำเสมอและยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
ข้อปฏิบัติธรรมประการที่ 3 ซะกาต
การจ่ายซะกาต คือ การกำหนดให้ผู้มีทรัพย์สินในเงื่อนไขที่ครบกำหนดต้องจ่าย ส่วนหนึ่งให้แก่บุคคลที่อิสลามกำหนด ( เช่น คนยากจน เป็นต้น ) ทุกปี โดยทั่วไปจะอยู่ในอัตราร้อยละ 2.5
ซะกาตมีคุณค่าที่ล้ำลึก ทั้งทางมนุษยธรรม สังคม และการเมือง สามารถปลดปล่อยมนุษย์จากความเป็นอยู่แบบชนชั้น และจากความรู้สึกที่เห็นแก่ตัว
ดังกล่าวนี้ เป็นข้อปฏิบัติธรรมแห่งความยุติธรรมทางสังคมที่อิสลามไม่ต้องการให้เป็นเพียงแค่ทฤษฎีที่เป็นนามธรรมเท่านั้น แต่ต้องการให้เห็นผลในทางปฏิบัติทันที ดังนั้น เราจะสังเกตเห็นหลายครั้งที่อัล-กุรอานมักจะกล่าวถึงเรื่องซะกาตตามหลังเรื่องละหมาดทันที
ข้อปฏิบัติธรรมประการที่ 4 การถือศีลอด
ข้อปฏิบัติธรรมสำคัญประการนี้ ได้กำหนดให้เดือนรอมฎอนตามปฏิทินอิสลามเป็นเดือนแห่งการฝึกฝนอย่างเข้มข้น ด้วยการถือศีลอด ด้วยการไม่รับประทานอาหารและน้ำตลอดในช่วงเวลากลางวัน รวมทั้งข้อห้ามอื่นๆ อีกหลายประการ และยังได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจังให้กระทำความดีต่าง ๆ ให้มากเป็นพิเศษ เช่น การอ่านอัล กุรอาน การละหมาด การบริจาค เป็นต้น
การฝึกอบรมตลอดเดือนรอมฏอนสอนมนุษย์ให้รู้จักความอดทน อดกลั้น ความไม่เห็นแก่ตัว ให้รู้จักความพอดี ความพอเพียง รู้จักควบคุมตนเอง และการสร้างวินัย เป็นเสมือนการสั่งสมพลังงานภายในเพื่อนำมาใช้ตลอดปีที่เหลือ
นอกจากนี้ การถือศีลอดเป็นการสร้างจิตสำนึกแห่งการอยู่ร่วมกันทางสังคม ความรักความเอื้ออาทรที่มีต่อผู้อื่น ซึ่งเกิดจากการที่ได้รับรู้ความรู้สึกของเพื่อนมนุษย์ผ่านความหิว ความกระหาย ตลอดเดือนรอมฏอน
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นต่อการถือศีลอดจากคนที่มีใช่มุสลิมอย่างหนึ่งก็คือ การคิดว่านี่เป็นพิธีกรรมที่ทรมานตัวเอง แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว กฎของการถือศีลอดนั้นมิได้ต้องการให้เกิดความหิวเกินกว่าช่วงกลางวัน จึงมีกฎให้รีบละศีลอดทันทีที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า และยัง ส่งเสริมให้มีการรับประทานอาหารก่อนรุ่งเช้าในช่วงก่อนรุ่งสางอีกด้วย
เจตนารมณ์ของการถือศีลอดอยู่ที่การขัดเกลาจิตใจและการสร้างความรู้สึกที่เห็นใจต่อความทุกข์ของมนุษยชาติเท่านั้น โดยผ่านสิ่งสำคัญที่สุดคือ ความรู้สึกหิวในช่วงกลางวัน แต่มิได้ปฏิบัติถึงระดับที่เป็นอันตราย ซึ่งตามคำสอนอิสลามจะต่อต้านรูปแบบทุกชนิดในการทรมาน ตัวเอง
ข้อปฏิบัติธรรมประการที่ 5 การทำฮัจญ์
แนวคิดอิสลามนั้นถือว่ามนุษยชาติเป็นพี่น้องกัน ถูกสร้างมาจากพระผู้ทรงเมตตา ผู้เป็นพระเจ้าที่ไม่มีภาคีใดๆ มีต้นกำเนิดมาจากพ่อแม่เดียวกันคือ อาดัมและเฮาวาอ์ ไม่ว่าจะสีผิว ภาษา หรือเชื้อชาติใด
ดังนั้น สถานที่ชุมนุมแห่งมนุษยชาติเพื่อยืนยันแนวคิดดังกล่าวจึงได้ถูกออกแบบขึ้น เรียกว่า “ฮัจญ์” และสถานที่ถูกกำหนดคือ นครมักกะฮ ซึ่งเป็นดินแดนจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์มนุษยชาติในทัศนะของอิสลาม
การชุมนุมแห่งมนุษยชาตินี้ จึงถูกจัดขึ้นทุกๆ ปี หากมุสลิมคนใดมีความสามารถ ทั้งในด้านสุขภาพและทรัพย์สิน ถือว่าเป็นหน้าที่ถูกกำหนดให้เขาต้องเข้าร่วมอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต
ปัจจุบันนี้ ฮัจญ์ เป็นการชุมนุมมนุษยชาติที่มีผู้เข้าร่วมหลายล้านคน ประกอบไปด้วย ผู้ศรัทธาจากหลากหลายเผ่าพันธุ์ ภาษา และสีผิว
ฮัจญ์ จึงเป็นสัญลักษณ์ของการชุมนุมมนุษยชาติที่แสดงให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของประชาชาติอิสลามที่สืบสานมาตลอดนับพันปีเศษ
สู่การสร้างระบอบชีวิต
ท่านนบีมุฮัมมัด ค็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ให้ภาพอิสลามเหมือนกับ “ บ้าน ” หรือ “ อาคาร ” ซึ่งในการสร้างบ้านนั้นต้องมี “ เสา ” ถ้าอิสลามถูกเปรียบเหมือนบ้านหลังหนึ่ง ท่านนบี ค็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ก็ได้ระบุเสา มี 5 ต้น
อิสลามถูกสร้างบนพื้นฐาน 5 ประการ …. ( รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม )
อุละมาอ์ (นักปราชญ์มุสลิม) บางท่านได้เปรียบเทียบความสัมพันธ์ของรากฐานทั้ง 5 ประการ เฉกเช่น เสาเต็นท์ โดยเสาที่สำคัญที่สุดจะอยู่ตรงกลาง ซึ่งจะช่วยรักษาเสารองๆ ลงมา
ข้อปฏิบัติธรรมในอิสลามประการที่หนึ่ง คือ ซะฮาดะฮ เปรียบเหมือนเสาสำคัญที่สุดที่อยู่ตรงกลาง ส่วนข้อปฏิบัติธรรมอีกสี่ประการต้องอาศัย และพึ่งพารากฐานที่มั่นคงแข็งแรงของรากฐานข้อที่หนึ่งนั่นเอง ยิ่งรากฐานข้อที่หนึ่งถูกต้อง ชัดเจน แข็งแกร่งเท่าใด ก็จะช่วยเพิ่มพลังความแข็งแกร่งให้แก่รากฐานรองๆ ลงมาให้แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
ดังกล่าวนี้ หมายความว่า เสาต้นแรกของอิสลามหรือซะฮาดะฮนั้นเป็นเสาแกนหลักที่มิเพียงค้ำหนุนเสาต้นอื่นๆ แต่เสาต้นอื่นๆ ก็ต้องมาค้ำหนุนเสาแกนหลักเช่นกัน
ดังนั้น ข้อปฏิบัติธรรมในอิสลามทั้ง 5 ประการ จึงดำเนินไปด้วยการประสานกลมกลืนกันเป็นหนึ่งเดียว
การอธิบายของท่านศาสดานบี ค็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ยังชี้ให้เห็นชัดเจนอีกว่า อิสลามนั้นเป็นศาสนาที่เน้นการสร้างระบอบในเชิงปฏิบัติ มิใช่เป็นเพียงทฤษฏี แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ แต่ต้องการสร้างระบอบการแก้ไขปัญหาอย่างได้ผล มีขั้นตอน มีระเบียบแบบแผน
การสร้างอาคารแห่งอิสลาม จึงต้องเริ่มจากเสา หลังจากนั้นองค์ประกอบอื่นๆ ก็จะถูกนำตามมา ไม่ว่าจะเป็นฝาบ้าน หลังคาบ้าน และการตบแต่งภายใน
ดังนั้น เนื้อหาการปฏิบัติอื่นๆ ของอิสลาม เช่น การใช้ชีวิตในครอบครัว เศรษฐกิจ การเมือง เป็นต้น แม้กระทั่งส่วนยอดของอาคารแห้งอิสลามนั้น ท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะ ซัลลัม เรียกว่า ญิฮาด ( การต่อสู่ดิ้นรนในวิถีทางของอัลลอฮฺ )
ดังกล่าวนี้ จะต้องได้รับการเสริมเพิ่มเติมตามลำดับความสำคัญ และให้เป็นไปตามแนวทางการสร้างระบอบอิสลาม นั่นเอง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น